ในโลกการทำธุรกิจยุคใหม่ “ความยั่งยืน” เป็น “กลยุทธ์ทางธุรกิจ” ที่เป็นตัวกำหนดถึงความสามารถในการแข่งขันขององค์กร โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความสำคัญกับเรื่องของการนำแนวคิด ESG หรือ Environmental, Social, and Governance มาปรับใช้อย่างจริงจัง รวมถึงข้อบังคับ และมาตรทางกฎหมายจากทั้งใน และต่างประเทศที่ได้เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งสำคัญ อย่างร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พรบ.ลดโลกร้อน ที่กำลังอยู่ในช่วงการพิจารณา และมาตรฐานสากลอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป จึงเป็นที่มาที่ทำให้การวัด Carbon Footprint ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจไทยต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจในวันข้างหน้า
แล้ว Carbon Footprint คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ finbiz by ttb จะขอพาไปดูกัน
Carbon Footprint คืออะไร และทำไมธุรกิจต้องเริ่มวัดตั้งแต่วันนี้
Carbon Footprint คือปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Glasshouse Gases หรือ GHGs) ที่ธุรกิจปล่อยออกมาจากการทำกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น การผลิต การขนส่ง การใช้พลังงาน หรือแม้แต่การจัดการของเสีย โดยจะวัดออกมาเป็นหน่วยที่เรียกว่า “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e)” เพื่อนำไปจัดทำเป็นรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG inventory) Carbon Footprint ขององค์กร
โดยการวัด Carbon Footprint ไม่ได้เป็นแค่เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมต่อกฎระเบียบใหม่ และสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
Scope 1-2-3: เข้าใจแหล่งปล่อยคาร์บอนของธุรกิจแบบครบมิติ
Scope ในการวัดคาร์บอนของธุรกิจ หมายถึงประเภทของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรที่ควรนำมาพิจารณา โดยจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 Scope หลัก ดังต่อไปนี้
- Scope 1 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากกิจกรรมของธุรกิจเอง (Direct GHG Emissions) ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมที่องค์กรสามารถควบคุมได้หรือเป็นเจ้าของ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงาน การผลิต การใช้สารทำความเย็น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากยานพาหนะที่องค์กรเป็นเจ้าของ เป็นต้น
- Scope 2 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อ หรือนำเข้ามา (Indirect emissions from purchased energy) โดยที่องค์กรไม่ได้ผลิตเอง ซึ่งมีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น อากาศอัด
- Scope 3 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ (Other indirect emissions) ที่เกิดขึ้นในซัพพลายเชน ทั้งทางต้นน้ำ และปลายน้ำที่เกี่ยวข้องกับองค์กร และผลิตภัณฑ์ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจ การเดินทางไป-กลับของพนักงาน สินทรัพย์ที่องค์กรเช่า การลงทุนในกิจการหรือโครงการต่างๆ
แล้วธุรกิจจะมีวิธีการคำนวณ Carbon Footprint อย่างไร? พร้อมแนะนำเครื่องมือวัดคาร์บอนที่ธุรกิจไทยควรรู้จัก
การคำนวณ Carbon Footprint ขององค์กรจะเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละ Scope แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปคุณกับ Emission Factor หรือ “ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยกิจกรรม” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหน่วย “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e)”
สูตรพื้นฐานในการคำนวณ :
Carbon Footprint (tCO₂e) = ข้อมูลกิจกรรม × ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor)
หมายเหตุ : โดยค่า Emission Factor สามารถดูได้จากเว็บไซต์ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
ตัวอย่างการคำนวณ
- แผนกขนส่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือมีค่า Carbon Footprint 137.01 kgCO₂e
วิธีคำนวณ : ดีเซล 50 ลิตร X 2.7403 kgCO₂e/ลิตร = 137.01 kgCO₂e
- แผนกผลิตปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือมีค่า Carbon Footprint 24.99 kgCO₂e
วิธีคำนวณ : ไฟฟ้า 50 kWh X 0.4999 kgCO₂e/kWh = 24.99 kgCO₂e/kWh
จากตัวอย่างการคำนวณค่า Carbon Footprint จะเห็นได้ว่าอาจจะมีความซับซ้อน และจำนวนข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งลูกค้าสามารถใช้วิธีการพื้นฐานในการคำนวณอย่างการใช้ Excel หรือจะดีกว่าไหม หากธุรกิจจะมีระบบที่ช่วยคำนวณค่า Carbon Footprint ที่ช่วยให้จัดการข้อมูล คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันมีระบบให้ธุรกิจเลือกใช้ทั้งแบบฟรี และเสียเงินให้ธุรกิจได้เลือกใช้
โดยทีทีบีขอแนะนำระบบ SETCarbon ที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศได้พัฒนาขึ้น เป็นแพลตฟอร์มกลางที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถรวบรวม และจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงานรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจก โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายหน่วยงาน และเมื่อธุรกิจมีข้อมูลการใช้คาร์บอนที่น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญเป็นระบบที่เปิดให้ธุรกิจใช้งานได้ฟรี พร้อมรองรับการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน (ESG) ทำให้การเก็บข้อมูล Carbon Footprint ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจอีกต่อไป
รวมถึงยังมีเครื่องมือการวัด Carbon Footprint อื่นๆ อย่าง Carbon Footprint Tracking for Organization (CFO) ที่ทาง Carbon Markets Club เป็นคนพัฒนาขึ้น และ Carbonform ที่ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นคนพัฒนาขึ้น ให้ธุรกิจได้เลือกใช้เช่นกัน
วัดแล้วได้อะไร? Carbon Footprint กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณอาจไม่เคยรู้
Carbon Footprint ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดใหม่ที่มีความสำคัญกับธุรกิจ โดยเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในอีกหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
- เตรียมพร้อมต่อกฎระเบียบใหม่ ทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล
- ลดต้นทุน จากการปรับปรุงกระบวนการผลิต และการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากได้มากยิ่งขึ้น
- เพิ่มโอกาสทางการค้า ในการบุกตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน ด้วยการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยแผนการลดการใช้คาร์บอนทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
วัด Carbon Footprint วันนี้ เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืนในวันหน้า
การวัด Carbon Footprint คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โปร่งใส และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในตลาดโลก ธุรกิจที่เริ่มก่อน ย่อมมีโอกาสมากกว่าในการสร้างความได้เปรียบและเติบโตอย่างมั่นคงในยุคที่ “คาร์บอน” กลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ
โดยทีทีบี ได้ผนึกกำลังร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายระบบนิเวศการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) มุ่งสนับสนุนธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว ด้วยการใช้ข้อมูล ESG พิจารณาสินเชื่อ และส่งเสริมให้ลูกค้าธนาคารมีระบบช่วยจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบ SETCarbon
ธุรกิจที่สนใจนำระบบ SETCarbon ไปใช้งาน เพื่อจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี โทร. 0 2643 7000 วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 08:00-20:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดธนาคาร
finbiz by ttb
โครงการเสริมความรู้สู่การเป็น Smart SME ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม
พร้อมองค์ความรู้ ที่ครบครัน จาก Partner ชั้นนำทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวผ่านความท้าทายของโลกปัจจุบัน
ปรับตัวตอบโจทย์ยุคดิจิทัล พร้อมมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
อัปเดตทุกดิจิทัลเทรนด์ และความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด
เพียงแอดไลน์ @ttbSME