“เก็บเงินยังไงให้เหลือ?” คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะแม้จะมีรายได้เดือนละหลายหมื่น แต่ถ้าขาดวินัยและแผนที่ชัดเจน เงินก็อาจหมดตั้งแต่กลางเดือนได้ง่าย ๆ เคล็ดลับสำคัญของคนที่ ออมเงิน ได้สม่ำเสมอ ไม่ใช่การหาเงินให้ได้มากที่สุด แต่คือการจัดระบบเงินให้เป็นตั้งแต่ต้นทาง
วันนี้เราจะพาไปรู้จักหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้ออมเงินได้มากขึ้นก็คือ “ออมเงินก่อนใช้” โดยใช้หลักการปรับสมการการเงิน พร้อมแนวทางแยกบัญชีแบบมือโปรที่ทำตามได้ทันที
เปลี่ยนสมการเงินออม เปลี่ยนพฤติกรรมการเงิน
คนส่วนใหญ่มักใช้สมการชีวิตแบบ “รายได้ – รายจ่าย = เงินออม” หรือก็คือใช้ก่อน เก็บทีหลัง ซึ่งส่วนใหญ่มัก "ไม่เหลือให้เก็บ"
แต่หากเปลี่ยนมุมมองใหม่เป็น “รายได้ – เงินออม = รายจ่ายที่ใช้ได้จริง” เมื่อเงินเดือนเข้าบัญชี ให้รีบ “กันเงินออมออกก่อน” แล้วค่อยใช้เงินที่เหลือ เท่านี้ก็เปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันที เพราะเราบังคับให้ตัวเองออมเงินเหมือนเป็น "ภาระผูกพัน" เหมือนจ่ายบิลรายเดือน
เมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการตั้งเป้าหมายการออมเงินอย่างชัดเจน ออมเพื่ออะไร เท่าไหร่ และในระยะเวลาใด การมีเป้าหมายจะช่วยให้มีแรงจูงใจในการออมมากขึ้น เช่น ออมเพื่อสำรองฉุกเฉิน เงินดาวน์บ้าน ค่าเล่าเรียนลูก หรือทริปท่องเที่ยวปลายปี จากนั้นคำนวณยอดออมที่เหมาะสมกับรายได้ เช่น เริ่มจาก 10-20% ของรายได้ หากมีรายได้ 30,000 บาท ควรตั้งเงินออมไว้ประมาณ 3,000-6,000 บาทต่อเดือน และเพิ่มขึ้นเมื่อมีรายได้มากขึ้น
เคล็ดลับที่ทำให้การออมเงินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือการออมทันทีเมื่อเงินเดือนเข้า สามารถตั้งระบบตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนเข้าสู่บัญชีออมเงิน จะช่วยป้องกันการเผลอใช้เกินตัว และทำให้การออมกลายเป็นกิจวัตรประจำเดือนโดยไม่ต้องคิดมาก
แยกบัญชีอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เงินปนกัน
อีกหนึ่งจุดตายที่ทำให้หลายคนเก็บเงินไม่อยู่คือการมี “บัญชีเดียว” สำหรับทุกอย่าง เป็นกับดักที่ทำให้เผลอใช้เงินเกินกว่าที่ตั้งไว้ พอทุกอย่างรวมในที่เดียวจะทำให้เกิดความสับสนว่าเงินแต่ละก้อนมีเป้าหมายในการใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ทางแก้คือการแยกบัญชีตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าเงินแต่ละก้อนมีไว้ทำอะไร ตัวอย่างเช่น บัญชีรับเงินเดือน บัญชีใช้จ่าย บัญชีเงินออมเป้าหมาย และบัญชีเงินสำรองฉุกเฉิน จะทำให้เห็นภาพการเงินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
บัญชีรับเงินเดือนควรใช้สำหรับรับรายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือรายได้เสริม ขณะที่บัญชีใช้จ่ายควรผูกกับแอป Mobile Banking หรือบัตรเดบิตสำหรับใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และบิลต่าง ๆ ส่วนบัญชีเงินออมเป้าหมายควรเป็นบัญชีที่ไม่ใช้รูดจ่าย เพื่อให้ห่างไกลจากการใช้เงินโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้าย บัญชีเงินสำรองฉุกเฉินควรเป็นบัญชีฝากประจำ หรือบัญชีดอกเบี้ยสูงที่ไม่ได้ถอนง่าย ๆ ช่วยให้เงินก้อนนี้อยู่ครบและพร้อมใช้ในยามจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
ในกรณีที่มีเป้าหมายเก็บเงินอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาก็สามารถเปิดบัญชีแยกตามวัตถุประสงค์เช่น “เงินเที่ยวญี่ปุ่น” หรือ “เงินดาวน์คอนโด” เพื่อให้รู้สึกถึงความสำคัญและไม่ใช้ผิดประเภท การแยกบัญชีธนาคาร หรือเลือกใช้ธนาคารที่ไม่มีบัตร ATM ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เงินอยู่กับเรานานขึ้น เพราะทำให้การถอนเงินยากขึ้นเล็กน้อย ลดความอยากเบิกถอนเงินไปได้โดยไม่รู้ตัว
สำหรับใครที่กำลังมองหาบัญชีที่เหมาะกับการออมเงินแบบแยกบัญชี ขอแนะนำบัญชี ttb all free ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายจุดเด่นของบัญชี ttb all free
- ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน
- ใช้จ่ายในประเทศ โอนเงินข้ามธนาคารฟรี ไม่ต้องกังวลค่าธรรมเนียมตัดบัญชี
- ใช้งานร่วมกับแอป ttb touch ได้สะดวก เหมาะกับการวางแผนการเงินและการใช้จ่าย
- ใช้ควบคู่กับบัตรเดบิต ttb all free ที่กดเงินฟรีทุกตู้ ทั่วประเทศ
เริ่มต้นออมวันนี้ ด้วยการเปิดบัญชีออนไลน์ง่าย ๆ ไม่ถึง 10 นาที ผ่านแอป ทีทีบี ทัช ได้เลย! นอกจากนี้ หากใช้ควบคู่กับบัตรเดบิต ttb all free ก็สามารถกดเงินสดฟรีค่าธรรมเนียมทุกตู้ ATM ทั่วประเทศไทย และยังมีสิทธิพิเศษดี ๆ สำหรับคนที่ออมเงินอย่างจริงจัง เช่น เพียงมีเงินฝากในบัญชี จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากและฝากเงินไว้ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป (ทุกวัน ตลอดเดือน) สามารถได้รับความคุ้มครองทันที แและเบิกค่ารักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย และยังได้รับวงเงินคุ้มครองชีวิต 20 เท่าของยอดเงินฝาก สูงสุด 3 ล้านบาท ยิ่งคงเงินฝากไว้ได้ทุกวัน ตลอดเดือน รับความคุ้มครองฟรีอย่างต่อเนื่อง
ศึกษารายละเอียดบัญชี ttb all free และการเปิดบัญชี เพิ่มเติมได้ที่ คลิก
สุดท้ายนี้ การออมเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินก้อนโต เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองใหม่ เริ่มจากระบบที่ชัดเจน ตั้งเป้าหมายให้มั่นและเลือกใช้บัญชีให้เหมาะกับแผนการเงินของตนเอง เท่านี้ก็สามารถสร้างนิสัยการออมที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว