การมีบ้านเป็นของตัวเองคือความฝันและเป้าหมายสำคัญของใครหลายคน แต่ในเส้นทางการผ่อนชำระที่ยาวนาน อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน จนเกิดคำถามที่น่ากังวลว่า ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว ทำไงดี ซึ่งปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่ต้องรีบหาทางแก้ไขอย่างถูกวิธี โดยในบทความนี้ ทีทีบีจะมาแนะนำ 10 ทางออก เพื่อเป็นแนวทางให้คุณสามารถวางแผนและจัดการกับปัญหาหนี้บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สัญญาณเตือน! คุณกำลังเข้าสู่ภาวะผ่อนบ้านไม่ไหวหรือยัง?
ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลาย การสังเกตสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณสามารถประเมินสถานการณ์และเริ่มหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที ลองสำรวจตัวเองว่ากำลังเผชิญกับสัญญาณเหล่านี้อยู่หรือไม่
รายรับไม่พอดีกับรายจ่าย เริ่มหมุนเงินไม่ทัน
สัญญาณแรกที่ชัดเจนที่สุดคือการที่รายได้เริ่มไม่สมดุลกับรายจ่ายในแต่ละเดือน คุณอาจพบว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมด รวมถึงค่างวดบ้านแล้ว แทบไม่เหลือเงินเก็บหรือเงินสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวเลย บางครั้งอาจต้องนำเงินเก็บออกมาใช้จ่าย หรือเริ่มใช้บัตรเครดิตกดเงินสดเพื่อหมุนเงิน ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายว่าสภาพคล่องทางการเงินของคุณกำลังตึงตัวอย่างมาก
เริ่มจ่ายค่างวดล่าช้ากว่ากำหนด
จากที่เคยจ่ายค่างวดบ้านตรงเวลาเสมอ กลับกลายเป็นว่าคุณเริ่มจ่ายช้าไปบ้าง 1-2 วัน หรือบางครั้งอาจล่าช้าเป็นสัปดาห์ แม้ในช่วงแรกอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พฤติกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการเงินที่เริ่มติดขัด และเป็นสัญญาณว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการหาเงินมาจ่ายค่างวดให้ตรงตามกำหนด ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ได้
มีภาระหนี้สินอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจนน่ากังวล
นอกเหนือจากหนี้บ้าน หากคุณเริ่มมีภาระหนี้สินอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น หนี้บัตรเครดิตหลายใบ หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือหนี้รถยนต์ จนยอดรวมหนี้สินทั้งหมดสูงเกินกว่า 50-60% ของรายได้ต่อเดือน ถือเป็นภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว การมีหนี้หลายก้อนพร้อมกันจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทางการเงิน และทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้บ้านลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผิดนัดชำระหนี้บ้านส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
การเพิกเฉยต่อปัญหาและปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้บ้าน ไม่ใช่ทางออกที่ดีและจะนำมาซึ่งผลกระทบเชิงลบมากมายที่รุนแรงกว่าที่คิด การทำความเข้าใจถึงผลเสียเหล่านี้ จะช่วยให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของการรีบจัดการปัญหาก่อนสายเกินไป
เสียประวัติข้อมูลเครดิต
เมื่อคุณค้างชำระค่างวดบ้านเกิน 90 วัน สถานะบัญชีของคุณในข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) จะถูกบันทึกว่า "ค้างชำระ" ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประวัติทางการเงินของคุณโดยตรง การมีประวัติค้างชำระจะทำให้การขอสินเชื่ออื่น ๆ ในอนาคตเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือแม้แต่บัตรเครดิต เพราะสถาบันการเงินจะมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้
โดนค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัดชำระ
การจ่ายค่างวดล่าช้ากว่ากำหนดไม่ได้หมายความว่าคุณจะจ่ายเพียงเงินต้นและดอกเบี้ยตามปกติ แต่ธนาคารจะมีการคิด “ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ” ซึ่งมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ และอาจมี “ค่าปรับ” หรือ “ค่าติดตามทวงถามหนี้” เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้ยอดหนี้โดยรวมของคุณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดินพอกหางหมูที่แก้ไขได้ยากยิ่งขึ้น
เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องและยึดทรัพย์
หากปล่อยให้มีการค้างชำระเป็นเวลานาน ธนาคารเจ้าหนี้มีสิทธิ์ดำเนินการตามกฎหมายโดยการฟ้องร้องคุณต่อศาลเพื่อบังคับชำระหนี้ ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายอาจนำไปสู่คำสั่งศาลให้ “ยึดทรัพย์” นั่นคือบ้านของคุณจะถูกนำไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้คืนให้กับธนาคาร ซึ่งนับเป็นผลกระทบที่รุนแรงที่สุด เพราะไม่เพียงแต่จะเสียบ้านไป แต่ยังคงต้องรับผิดชอบส่วนต่างของหนี้ที่เหลืออยู่หากขายทอดตลาดได้ในราคาต่ำกว่ามูลหนี้
เปิด 10 วิธีรับมือเมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว ทำตามนี้มีทางออก
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังประสบปัญหา อย่าเพิ่งท้อแท้หรือหมดหวัง เพียงแค่คุณตั้งสติและลงมือทำตามแนวทางเหล่านี้อย่างจริงจัง ก็ยังมีโอกาสที่จะประคับประคองสถานการณ์และรักษาบ้านอันเป็นที่รักไว้ได้
1. สำรวจสถานะการเงินของตัวเองอย่างละเอียด
ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด คือการกลับมาทบทวนสถานะการเงินของตนเองอย่างตรงไปตรงมา จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดเพื่อดูว่าเงินของคุณหายไปไหนบ้าง แยกรายการค่าใช้จ่ายคงที่ (ค่างวดบ้าน, ค่าผ่อนรถ) และค่าใช้จ่ายผันแปร (ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าสันทนาการ) เพื่อมองหาจุดที่สามารถปรับลดหรือตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้ การทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองอย่างถ่องแท้ คือจุดเริ่มต้นของการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างมีทิศทาง
2. รีบเข้าไปเจรจาประนอมหนี้กับธนาคาร
อย่ารอจนสถานการณ์ย่ำแย่หรือรอให้ธนาคารติดต่อมา การเดินเข้าไปปรึกษาและเจรจากับธนาคารด้วยตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ คือทางออกที่ดีที่สุด จงเตรียมข้อมูลสถานะการเงินและอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ธนาคารส่วนใหญ่มีนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาอยู่แล้ว การแสดงความตั้งใจที่จะชำระหนี้จะทำให้ธนาคารพร้อมที่จะเสนอทางเลือกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณได้
3. ขอพักชำระหนี้
หนึ่งในมาตรการที่ธนาคารอาจเสนอให้คือการ "พักชำระหนี้" ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการ “พักชำระเงินต้น” โดยที่คุณยังคงต้องชำระในส่วนของดอกเบี้ยตามปกติ วิธีนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนลงไปได้มากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 3-6 เดือน) ทำให้คุณมีเวลาตั้งหลักและจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้กลับมาดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ประสบปัญหารายได้ลดลงชั่วคราวและคาดว่าจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า
4 การรีเทนชัน (Retention) กับธนาคารเดิม
หากคุณผ่อนบ้านกับธนาคารเดิมมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี และมีประวัติการชำระที่ดีมาโดยตลอด คุณสามารถยื่นเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ย (Retention) กับธนาคารเดิมได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเตรียมเอกสารมากเท่ากับการรีไฟแนนซ์ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจไม่เท่ากับการย้ายไปธนาคารใหม่ แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่างวดต่อเดือนลงได้
5. การรีไฟแนนซ์บ้านไปธนาคารใหม่
อีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือจากการขอรีเทนชัน คือ การรีไฟแนนซ์บ้าน นี่คือทางออกที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งในการลดภาระหนี้บ้านระยะยาว การรีไฟแนนซ์ (Refinance) คือการย้ายสินเชื่อบ้านของคุณจากธนาคารเดิมไปยังธนาคารใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ค่างวดต่อเดือนลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งอาจลดลงหลายพันบาท นอกจากนี้ การรีไฟแนนซ์ยังอาจมาพร้อมกับข้อเสนอขอวงเงินกู้เพิ่มเติมได้ โดยนอกเหนือจากได้ทำเรื่องปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหม่แล้ว ยังได้เงินเพิ่มเติมจากส่วนต่างของราคาประเมินกับยอดหนี้คงเหลือ ซึ่งสามารถนำเงินส่วนนี้ไปปิดหนี้/รวบหนี้ สินเชื่ออื่น ๆ ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า หรือนำมาเป็นเงินสดสำรองเพื่อเสริมสภาพคล่องได้อีกด้วย
6. มองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม
นอกจากการลดรายจ่ายแล้ว การเพิ่มรายรับก็เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่จะช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ลองมองหาศักยภาพหรือทักษะที่คุณมีเพื่อเปลี่ยนเป็นรายได้เสริมหลังเลิกงานหรือในวันหยุด เช่น การขายของออนไลน์, การรับงานฟรีแลนซ์ตามความถนัด, หรือแม้แต่การขับรถส่งอาหาร ทุกบาททุกสตางค์ที่หามาเพิ่มได้ จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดและแบ่งเบาภาระค่างวดบ้านได้อย่างแน่นอน เป็นอีกคำตอบที่น่าสนใจสำหรับคำถามที่ว่า ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว ทำไงดี
7. ขายทรัพย์สินอื่นที่ไม่จำเป็น
ลองสำรวจดูว่าคุณมีทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานหรือมีความจำเป็นน้อยหรือไม่ เช่น รถยนต์คันที่สอง, ของสะสม, กระเป๋าแบรนด์เนม หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ตกรุ่นแล้ว การตัดสินใจขายทรัพย์สินเหล่านี้ออกไปเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดก้อนหนึ่ง สามารถนำมาใช้โปะหนี้บ้านเพื่อลดเงินต้น หรือใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินเพื่อช่วยให้คุณผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้ ถือเป็นการสละสิ่งของที่ไม่จำเป็นเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่าอย่าง "บ้าน" เอาไว้
8. เปลี่ยนบ้านให้สร้างเงินด้วยการปล่อยเช่า
หากคุณพอจะหาที่พักอาศัยชั่วคราวกับครอบครัวหรือญาติได้ การปล่อยเช่าบ้านทั้งหลังก็เป็นทางเลือกที่สามารถสร้างรายได้มาครอบคลุมค่างวดบ้านได้เลยทีเดียว หรือหากไม่สะดวกย้ายออก อาจพิจารณาปล่อยเช่าห้องนอนบางห้องที่ไม่ได้ใช้งาน การเปลี่ยนพื้นที่ว่างในบ้านให้กลายเป็นรายได้ จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินได้โดยตรง แต่ควรศึกษาข้อกฎหมายและทำสัญญาเช่าให้รัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต
9. ประกาศขายบ้าน ทางเลือกเพื่อรักษาเครดิต
หากลองทุกวิถีทางแล้วยังพบว่าสถานการณ์หนักเกินกว่าจะรับมือไหว และการแบกรับภาระต่อไปอาจทำให้เสียประวัติเครดิตบูโร การตัดสินใจ "ขายบ้าน" อาจเป็นทางออกสุดท้ายที่ดีที่สุด การขายบ้านในขณะที่ยังผ่อนชำระอยู่สามารถทำได้ และดีกว่าการปล่อยให้ถูกธนาคารยึดไปขายทอดตลาด เพราะคุณมีโอกาสขายได้ในราคาตลาดซึ่งสูงกว่า และเงินที่ได้หลังหักลบหนี้กับธนาคารแล้วยังสามารถนำไปเป็นทุนตั้งต้นชีวิตใหม่ได้
- การขายดาวน์: เหมาะสำหรับบ้านหรือคอนโดที่ยังผ่อนไม่หมด โดยขายสิทธิ์ในการผ่อนต่อให้กับผู้ซื้อรายใหม่
- การขายบ้านมือสอง: ประกาศขายบ้านตามปกติ เมื่อมีผู้ซื้อ ตกลงราคา และทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว จะนัดวันไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดินพร้อมกับปิดยอดหนี้กับธนาคาร
10. เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากภาครัฐ
ในสถานการณ์ที่ปัญหาหนี้สินมีความซับซ้อนและรุนแรง นอกเหนือจากการเจรจากับสถาบันการเงินโดยตรงแล้ว การมองหาความช่วยเหลือจากมาตรการของภาครัฐก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม โดยภาครัฐมักจะมีโครงการออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SME ที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะ ๆ หนึ่งในโครงการสำคัญที่เป็นตัวอย่างได้ดีคือ "คุณสู้เราช่วย" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยโครงการเฟส 2 เปิดให้ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์สมัครเข้าร่วมมาตรการจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 (ขยายระยะเวลาเปิดรับโครงการเฟส 1 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็น 30 กันยายน 2568 ) โดยมีแนวทางช่วยเหลือเพื่อให้ลูกหนี้สามารถปลดหนี้ได้จริงและยั่งยืน
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยจะถูกพักไว้ (0% เป็นเวลา 3 ปี) ค่างวดจะนำไปตัดต้นทั้งหมด หากลูหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขครบ 3 ปี จะยกดอกเบี้ยให้
- ช่วยให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้: สินเชื่อมีหลักประกันที่มีภาระหนี้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี สามารถ “จ่าย ปิด จบ” ชำระหนี้ปิดบัญชีหนี้สินนั้น ๆ ได้อย่างแท้จริง
- ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: สามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
- ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ website ธนาคารแห่งประเทศไทย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ผ่อนบ้านไม่ไหว ติดเครดิตบูโรแล้วทำอย่างไร?
ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหวจนเสียประวัติไปแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือรีบเจรจากับธนาคารเพื่อหาทางกลับมาชำระหนี้ให้เป็นปกติ เมื่อคุณชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดและปิดบัญชีได้เรียบร้อยแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระจะยังคงแสดงอยู่ในรายงานเครดิตบูโรต่อไปอีก 3 ปี แต่สถานะบัญชีจะเปลี่ยนเป็น "ปิดบัญชี" หรือ "สถานะปกติ" ซึ่งสถาบันการเงินแห่งใหม่จะนำข้อมูลส่วนนี้ไปพิจารณาประกอบการให้สินเชื่อในอนาคต
การประนอมหนี้มีผลเสียหรือไม่?
การประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ โดยพื้นฐานแล้วคือทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้มากกว่าการปล่อยให้เป็นหนี้เสีย (NPL) แม้ว่าในรายงานเครดิตบูโรอาจมีการบันทึกรหัสสถานะว่า "มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้" แต่ก็ยังดีกว่าสถานะ "ค้างชำระเกิน 90 วัน" อย่างมาก การเข้าประนอมหนี้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความตั้งใจในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นปัจจัยบวกในสายตาของสถาบันการเงิน
ควรตัดสินใจขายบ้านตอนไหน?
ควรตัดสินใจขายบ้านเมื่อประเมินแล้วว่า
- รายได้ในอนาคตไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาดีขึ้นพอที่จะผ่อนชำระต่อไปได้
- ได้ลองใช้วิธีอื่น ๆ เช่น การรีไฟแนนซ์ หรือการเจรจาขอลดค่างวดแล้ว แต่ยังไม่สามารถผ่อนชำระไหว
- ต้องการตัดภาระเพื่อรักษาประวัติเครดิตที่ดีไว้ และนำเงินก้อนที่เหลือจากการขายไปเริ่มต้นใหม่โดยไม่ติดหนี้ การตัดสินใจขายก่อนที่จะเริ่มผิดนัดชำระเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
สรุปแนวทางรับมือเมื่อเริ่มผ่อนบ้านไม่ไหว
ปัญหาการผ่อนบ้านไม่ไหวเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สิ่งสำคัญคือการมีสติ ไม่หนีปัญหา และรีบดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่น ๆ จาก 10 ทางออกที่นำเสนอ จะเห็นว่ามีหลากหลายวิธีตั้งแต่การปรับพฤติกรรมทางการเงินของตัวเอง การเจรจากับธนาคาร ไปจนถึงการรีไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ทรงพลังในการลดภาระทางการเงินระยะยาว
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกลดภาระดอกเบี้ยและค่างวดผ่านการรีไฟแนนซ์ ทีทีบีมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้คุณก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ทีทีบี พร้อมตอบโจทย์ด้วย ดอกเบี้ยหลากหลายทางเลือก ทั้งดอกเบี้ยเรทเดียวตลอดสัญญา หรือ ดอกเบี้ยต่ำ 3 ปีแรก เริ่มต้นปีแรก 1.90% ต่อปี พร้อมฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ และทางเลือกฟรีค่าจดจดจำนอง* อีกทั้ง สามารถขอวงเงินกู้เพิ่มเติมได้ด้วยสินเชื่อบ้านแลกเงิน Top Up เพื่อนำเงินไปปิดหนี้/รวบหนี้ หรือ ใช้จ่ายเพื่อลดภาระได้
*ธนาคารจะออกค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ 1% ของวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยลูกค้าชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองก่อนแล้วธนาคารจะโอนค่าธรรมเนียมจดจำนองดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้าภายในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่จำนองหลักประกัน
หมายเหตุ : กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3%-6% ต่อปี • สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR-4.215% ถึง MRR-1.680% ต่อปี • โดยอัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 15 ส.ค. 68 = 7.305% ต่อปี • อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ • เงื่อนไขการสมัครและอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกําหนด • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.ttbbank.com