ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เป็นต้นมา หลายองค์กรก็ประกาศให้มีการ Work From Home ซึ่งก็กินเวลาร่วม ๆ 3 ปีแล้ว ที่หลายองค์กรก็ตัดสินใจให้ทำงานที่บ้าน หรือบางแห่งก็เริ่มที่จะไฮบริด และบางแห่งก็เปิดให้ทุกคนมาออฟฟิศเป็นปกติ ซึ่งแบบไหนกันนะ ที่พนักงานชอบใจ และยังได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ประกอบการควรตัดสินใจเลือกแนวทางการทำงานแบบไหนกันดี วันนี้ finbiz by ttb ขอพามาหาคำตอบไปด้วยกัน
พนักงานชอบแบบไหนผลสำรวจว่าอย่างไรกันบ้าง
Owl Labs พบว่า 70% ของคนที่ Work From Home บอกว่า ที่ชอบทำงานที่บ้าน เพราะช่วยลดความเครียดและลดอาการออฟฟิศซินโดรมลงได้ และ 64% ชื่นชอบระบบการทำงานแบบไฮบริด หรือการไปทำงานทั้งที่ออฟฟิศ และทำงานที่บ้านก็ได้ เพราะมีความสะดวก และให้อิสระพนักงานในการเลือกวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตมากกว่า ซ้ำยังระบุอีกว่า เวลาทำงานที่บ้านจะเกิด Productivity หรือสามารถทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 47% และการทำงานที่บ้านในแต่ละวัน จะทำให้เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ช่วยให้ Productivity เพียง 10 นาทีต่อวันเท่านั้น
ส่วนผลสำรวจของ PwC พบว่า 62% ชอบการทำงานแบบไฮบริด ส่วนที่อยากทำงานที่ออฟฟิศมีเพียง 11% เท่านั้น
ด้าน Buffer State of Remote Work พบว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มตัวอย่างมากถึง 97% ชอบการ Work From Home และจะแนะนำคนรอบข้างให้ทำงานวิธีนี้ รวมถึงจะทำงานแบบนี้ไปจนกว่าจะเกษียณ แถมบางคนบอกว่าหากให้เลือกระหว่าง Work From Home กับได้ขึ้นเงินเดือน เลือกทำงานที่บ้านดีกว่า
แต่ก็มีผลสำรวจอีกส่วนที่ระบุว่าการ Work From Home ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน อย่างผลสำรวจของ Monster ระบุว่า 61% ของคนที่ Work From Home หมดไฟในการทำงานเพราะงานที่หนักจนเกินไป และอีก 80% ของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน ยังคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในออฟฟิศ และ 68% คิดถึงการทำกิจกรรมร่วมกับคนในออฟฟิศด้วย
จากผลสำรวจทำให้พอทราบว่า มีพนักงานทั้งที่ชอบ Work From Home และชอบการทำงานที่ออฟฟิศ และก็มีอีกไม่น้อยที่ชอบทำงานแบบไฮบริดอีกด้วย
เทรนด์การบริหารคนที่ได้ผลดีในปี 2023
จากผลสำรวจแม้จะพบว่า ความต้องการของพนักงานมีความหลากหลาย แต่ไม่ว่าเราจะยึดผลสำรวจไหน แต่ผลสำรวจทุกอัน ต่างได้สะท้อนความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ พนักงานต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณค่าของการเป็นมนุษย์ คุณภาพชีวิต การยอมรับความแตกต่างและความหลากหลาย ซึ่งเทรนด์การบริหารคนอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2023 นี้จากข้อมูลแหล่งต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
-
การทำงานที่ยืดหยุ่นผสมผสาน “ไฮบริด” ยังคงเป็นตัวเลือกที่ลงตัว
ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว การทำงานที่ยืดหยุ่น การทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งจะทำให้กลุ่มที่ชอบการ Work From Home และกลุ่มที่รักการทำงานที่ออฟฟิศ ให้สามารถบาลานซ์และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ยังคงมีความสุข ที่สำคัญยังสามารถลดต้นทุนในการมาทำงานที่ออฟฟิศทั้ง 100% อีกด้วย ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการสนับสนุนด้วยระบบงานซอฟต์แวร์ที่ช่วยด้านการสื่อสารในองค์กรและซอฟต์แวร์ด้าน Task Management แต่ผู้ประกอบการ SME ก็ต้องดูถึงลักษณะงานที่สามารถทำได้ในแบบ Hybrid อีกด้วยว่ามีสัดส่วนเป็นกี่ % เพื่อจะได้มาดูความคุ้มทุนในการลงทุนระบบต่อไป
-
การเสริมศักยภาพของบุคลากร สร้างทั้ง skill และสร้างคุณค่าให้พนักงาน
บุคลากรที่มีศักยภาพมักเป็นที่ต้องการของทุกองค์กร ซึ่งการจ้างงานบุคลากรใหม่ ๆ ที่มาพร้อมด้วยศักยภาพก็มักจะมาด้วยค่าจ้างที่สูง ดังนั้นการให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีศักยภาพ เพิ่มทักษะการทำงานใหม่ ๆ จึงเป็นเรื่องที่ทีม HR หรือเจ้าของกิจการจะต้องจริงจังมากขึ้น การจัดสวัสดิการที่ส่งเสริมให้พนักงานได้พัฒนาทักษะ Soft skill นอกจากจะเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นทัศนคติที่ดีของพนักงาน และยังสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดูใส่ใจกับพนักงานมากขึ้น ช่วยลดอัตราการ Turn Over ให้องค์กรได้อีกด้วย เพราะพนักงานจะรู้สึกถึงความจริงใจและการสนับสนุนความชัดเจนของ Career Path ได้
-
คุณภาพชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องการการดูแล การส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพทางการเงิน ต้องมาพร้อมกัน
นอกจากเรื่องงานที่ทำให้ต้องนั่งทำงานหน้าจอทั้งวันหรืออยู่ในโรงงาน สายการผลิต จนไม่มีเวลาไปออกกำลังกายแล้ว พนักงานหลายคนอาจจะมีเรื่องราวในชีวิตประจำวันมากระทบจิตใจไม่น้อย ทำให้สุขภาพกายและจิตแย่ไปตาม ๆ กัน ดังนั้นสวัสดิการด้านสุขกายและจิตควรจะมาควบคู่กัน เช่น มีประกันสุขภาพ สนับสนุนกิจกรรมออกกำลังกาย การมีนักจิตวิทยามาให้คำปรึกษาดูแลด้านจิตใจโดยเฉพาะ เพื่อให้พนักงานมีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุขในการใช้ชีวิตและการทำงานมากขึ้น รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพทางการเงิน การให้ความรู้ การมีโบนัสที่เหมาะสม เป็นขวัญและกำลังใจ จูงใจให้พนักงานอยากทำงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ทั้งนี้เป็นได้ทุกรูปแบบ เช่น เงินสด หุ้นบริษัท สิ่งของ ควบคู่กับการให้ความรู้ด้านการบริหารการเงินไปด้วย
-
คุณค่าที่นายจ้างมอบให้ คือ เวลาการทำงานต่อสัปดาห์ที่ลดลง
EVP หรือ Employer Value Proposition คือคุณค่าที่นายจ้างมอบให้กับพนักงานซึ่งทำให้พนักงานยังคงทำงานอยู่กับองค์กรต่อไป โดยในปี 2023 EVP ที่พนักงานส่วนใหญ่ล้วนต้องการมากที่สุดคือการลดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ให้น้อยลง อาจทำได้โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ลดความผิดพลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการทำงานลงได้ หรือในอีกทางหนึ่งการให้โอกาสในการลางานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าองค์รของเราเข้าใจความเป็นมนุษย์ของพนักงานมากยิ่งขึ้น เช่น สามารถ ลาหยุดพักใจหากมีเรื่องกระทบจิตใจที่สมเหตุสมผล การลาคลอดสำหรับแม่ 90 วัน ส่วนพ่อลาเลี้ยงลูกได้บ้าง เป็นต้น
-
เสมอภาค หลายหลาก รวมเป็นหนึ่งเดียว
นี่คือเทรนด์ที่อยู่ในความสนใจของคนยุคนี้ ที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์ การยอมรับความหลากหลายของคนทำงานในองค์กรที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องเพศ แต่ยังรวมถึงช่วงวัย เชื้อชาติ ภาษา ประสบการณ์ ที่มีความต่างกันในองค์กร วัฒนธรรมองค์กรแบบ DEI (Diversity, Equity และ Inclusion) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานมีความสุข พนักงานจะรู้สึกว่าองค์กรยอมรับในสิ่งที่พนักงานเป็น ทำให้การทำงานมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และยังช่วยเพิ่มแนวทางการแก้ปัญหาในการทำงานแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ดูแลพนักงานให้ถึง...มีคุณภาพชีวิต การงานที่ดี และมีการเงินที่ดีขึ้น
จากเทรนด์การบริหารคน พบว่า ในยุคปัจจุบัน พนักงานจะทำงานได้อย่างมีความสุขเมื่อมีความยืดหยุ่นของเวลาโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวช่วย มีความมั่นใจทั้งด้านสุขภาพและทางการเงิน finbiz by ttb ขอนำเสนอ ttb payroll plus ที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถบริหารคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจ่ายเงินเดือนได้สะดวกแล้ว ยังได้รับสวัสดิการสำหรับพนักงานเพิ่มไปด้วย ทั้งประกันสุขภาพและอุบัติเหตุด้วย โดยที่ไม่ต้องเสียต้นทุนเพิ่ม บริการนี้ สามารถจ่ายเงินเดือนผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริการจัดการเงินเดือนให้พนักงานด้วย
ttb payroll plus บริการจ่ายเงินเดือน และดูแลสวัสดิการพนักงานครบจบในที่เดียว
- ประหยัดต้นทุน ไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนจ่ายเงินเดือนพนักงาน และไม่จำกัดจำนวนพนักงาน เมื่อทำธุรกรรมด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง
- สิทธิประโยชน์มากมาย สำหรับพนักงาน ที่ใช้บัญชี ทีทีบี ออลล์ฟรี เป็นบัญชีรับเงินเดือน กดเงินที่ตู้ ATM ฟรีทุกธนาคารทั่วประเทศ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โอนเงิน เติมเงิน จ่ายบิล ไม่มีค่าธรรมเนียม
- ได้ดูแลสวัสดิการพนักงานในราคาประหยัด ด้วยแพ็กเกจประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุในราคาพิเศษ ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย
“เป็นได้มากกว่า แค่การโอนเงิน” ด้วยบริการเสริมที่ดูแลพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้ง 4 พลัส
- สิทธิประโยชน์ของพนักงาน (Employee Benefits) กดโอนจ่ายฟรีทั่วประเทศพร้อมอัตรา ดอกเบี้ยพิเศษบัญชีเพื่อออมและสินเชื่อ
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยผู้ดูแลมืออาชีพ เพื่อวางแผนการออมระยะยาวให้พนักงานมีเงินเพียงพอใช้จ่ายยามเกษียณ
- ประกันกลุ่ม (Group Insurance) ราคาสุดพิเศษพร้อมการจ่ายเบี้ยประกัน เป็นรายเดือน
- บริหารจัดการงานบุคคลแบบดิจิทัล (Digital HRM) ครบทุกฟีเจอร์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งบริษัท และ พนักงาน
สนใจการใช้ระบบ ttb payroll plus สามารถดูรายละเอียดที่เว็บไซต์เพิ่มเติม คลิกที่นี่
จากเทรนด์บริหารคนในปี 2023 ทั้ง 5 ข้อที่จะพบว่า พนักงานจะอยากทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อรู้สึกว่าตนเองได้รับความใส่ใจกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งด้านการพัฒนาทักษะ สุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพทางการเงิน
ซึ่งเป็นหน้าที่ของการสร้างทิศทางขององค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนและ HR หรือแม้แต่เจ้าของกิจการจะต้องทำให้สัมฤทธิ์ผล คอยดูแลสร้างสรรค์สวัสดิการใหม่ ๆ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นบริษัทที่เท่าทันความคิดของคนในแต่ยุคมากขึ้น ทำให้มีบุคลากรคุณภาพที่ขับเคลื่อนองค์กร ส่งเสริมให้องค์กรมั่นคง ยั่งยืน ก้าวหน้า สร้างสรรค์มากขึ้นนั่นเอง
ที่มา :
finbiz by ttb โครงการเสริมความรู้ธุรกิจ
“ครบ จบในที่เดียว ปรับใช้ได้ง่าย ต่อยอดได้จริง สู่การเป็น Smart SME”
ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม พร้อมองค์ความรู้ที่ครบครัน จาก Partner ชั้นนำทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้ธุรกิจรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พร้อมปรับตัวในยุคดิจิทัลและเติบโตอย่างยั่งยืน
อัปเดตทุกดิจิทัลเทรนด์ และความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด
เพียงแอดไลน์ @ttbSME หรือคลิกเพิ่มเพื่อน