บทความในครั้งนี้ finbiz by ttb รวบรวมข้อมูลในประเด็นเรื่อง Climate Change ที่เข้ามาเป็นประเด็นสำคัญทางธุรกิจ และยังเป็นเรื่องราวที่เร่งด่วนที่ทุกธุรกิจต้องให้ความใส่ใจอีกด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change เป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วนของโลกในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และสังคมอย่างรุนแรงแน่นอนในอนาคต
ในฐานะที่ภาคธุรกิจเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก มีส่วนสำคัญในของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ จำเป็นต้องเคลื่อนไหว และปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากปัญหา Climate Change ไม่เพียงว่าหากภาคธุรกิจเคลื่อนไหวจะช่วยลดปัญหานี้ได้เท่านั้น แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ก็เป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องให้ความใส่ใจกับการเคลื่อนไหวเพื่อลดปัญหา Climate change ในครั้งนี้ โดย finbiz by ttb จะขอรวบรวม 4 ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ Climate Change เป็นประเด็นสำคัญทางธุรกิจ
1. ธุรกิจต้องอยากเป็นบริษัทที่รักษ์โลก
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจจึงที่ต้องการการเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภค จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสรักษ์โลก โดยการให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งในด้านการผลิต กระบวนการทำงาน และผลิตภัณฑ์และบริการที่นำเสนอ ตัวอย่างเช่น
- ธุรกิจใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ฯลฯ เพื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่ผลิตไปจนก่อนส่งถึงมือลูกค้า
- ธุรกิจลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก รวมไปถึงลดการใช้ทรัพยากรของบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ การลดขนาดของบรรจุดภัณฑ์ ไปจนถึงการปรับขนาดของบรรจุภัณฑ์เพื่อลดจำนวนเที่ยวของการขนส่ง
- ธุรกิจให้ความสำคัญกับการจัดการของเสีย การลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด หรือใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากจำเป็นต้องมีของเสีย จะต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเข้าสู่กระบวนการแล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงการบำบัดให้สามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย เป็นต้น
และจากผลสำรวจของ PwC, Deloitte ในปี 2023 พบว่า ผู้บริโภคกว่า 64% ยินดีจ่ายเงินเพิ่มสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการถนอมธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเอาไว้และยังสามารถเพิ่มมูลค่าของแบรนด์และธุรกิจได้อีกด้วย
2. ธุรกิจต้องการทำหรือมีธุรกิจที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ
จากการคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกทำให้หลายประเทศได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างเช่น
- สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป(Carbon Border Adjustment Mechanism) สำหรับสินค้านำเข้าจากนอกสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลแล้วตั้งแต่ตุลาคม 2023 และมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อบังคับใช้ถึงในปี 2026 โดยมาตรการนี้ออกมาเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางต้นทุนราคาคาร์บอนระหว่างสินค้าภายในสหภาพยุโรปและประเทศนอกสหภาพยุโรป โดยมีการบังคับใช้ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (EU's Emission Trading System : EU ETS)
- ญี่ปุ่นได้ออกมาตรการ Tokyo Circularity Initiative ในปี 2023 กำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจในกรุงโตเกียวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบที่คล้ายกับมาตรการ EU ETS ของสหภาพยุโรป ที่จะต้องมีมาตรการขึ้นมาเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านต้นทุนกับสินค้านำเข้าเช่นเดียวกัน
- สหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปี 2023 นี้ ยังไม่มีกฎหมายบังคับสำหรับธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยังอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลอเมริกาได้ออกร่างกฎหมายที่เรียกว่า "Fair, Affordable, Innovative, and Resilient Transition and Competition Act" (FAIR Act) ซึ่งหากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะกำหนดให้ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยังอเมริกาต้องเสียภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น ๆ กฎหมายฉบับนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2025 โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้านำเข้าจากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
- สิงคโปร์ ประเทศแรกในอาเซียนที่นำมาตรการทางภาษีและมาตรการทางกฎหมายมาใช้บังคับเพื่อการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษทางอากาศในประเทศภายใต้ชื่อรัฐบัญญัติภาษีคาร์บอน (Carbon Pricing Act) และมีแผนที่จะขึ้นภาษีคาร์บอนในอนาคตโดยจะปรับตัวเลขเป็น 45 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2) ในปี 2026-2027 และจะขึ้นเป็น 50-80 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2030 การเก็บภาษีคาร์บอนของสิงคโปร์ในปัจจุบันได้บังคับใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจทั้งหมดทุกประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณ 25,000 ตันต่อปีขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการนำเข้าสินค้าในทำนองเดียวกับที่ CBAM ได้บังคับใช้ในกรณีส่งสินค้าไปยังสหภาพยุโรป
จากข้อมูลของ World Bank ในปี 2022 พบว่า การค้าระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลก คิดเป็น 27% ของ GDP ของโลก ซึ่งหมายความว่า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าทางเศรษฐกิจของโลกทั้งหมด หากธุรกิจไม่ปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะทำให้ธุรกิจเหล่านั้นเสียเปรียบคู่แข่งในการแข่งขันทางการค้า
3. ต่อให้ไม่ทำ กฎหมายก็บังคับอยู่ดี
จากปัญหา Climate Change ทำให้หลายประเทศทั่วโลกได้ออกกฎหมายเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งนี้ด้วยตระหนักถึงปัญหาอย่างแท้จริง และเพื่อให้ธุรกิจในประเทศนั้น ๆ สามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้ จากรายงานของ International Emissions Trading Association ในปี 2022 พบว่า กว่า 60 ประเทศทั่วโลกได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับ Climate Change และประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายบังคับ เพื่อควบคุมดูแลเช่นเดียวกัน
ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 มีประกาศเป้าหมายนี้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2021
การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยภาครัฐจะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุน ส่วนภาคเอกชนจะทำหน้าที่ในการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และภาคประชาชนจะมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
4. อยากทำธุรกิจกับบริษัทรายใหญ่
บริษัทรายใหญ่หลายแห่งได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030 - 2040 นโยบายเหล่านี้จะทำให้บริษัทคู่ค้าต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับบริษัทรายใหญ่เหล่านี้ได้ และองค์กรใหญ่หลายแห่งก็ได้เริ่มมีนโยบายกำหนดให้ซัพพลายเออร์และคู่ค้าต้องดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเช่นกัน และหากไม่สามารถทำตามเกณฑ์ก็อาจสูญเสียโอกาสในการทำธุรกิจ หรือมีต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นได้
จากรายงานของ CDP (Carbon Disclosure Project) องค์กรระดับโลก ที่ทำงานร่วมกับสถาบันการลงทุนขนาดใหญ่กว่า 650 แห่งโดยไทยเป็นหนึ่งในนั้น) ในปี 2022 พบว่า มีกว่า 15,000 บริษัทชั้นนำทั่วโลกได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีบริษัทในไทยมีไม่ต่ำกว่า 100 บริษัทที่ได้ประกาศแล้ว ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีบริษัทในเครือ หรือบริษัทที่ร่วมทำการค้าอีกมากมายจึงส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจโดยทั่วไปของไทย อันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วม ความตื่นตัวและความมุ่งมั่นของภาคเอกชนไทยในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปัจจัยทั้ง 4 ประการข้างต้น ล้วนเป็นแรงผลักดันส่งเสริม และแรงกดดัน ที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวเรื่อง Climate Change ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วและมีประสิทธิภาพ จะสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจได้ในอนาคต โดยมีสถิติตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจมาสนับสนุนดังนี้
- จากการสำรวจของ McKinsey ในปี 2022 พบว่า ธุรกิจที่ปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถลดต้นทุนได้เฉลี่ย 3-5%
- จากการสำรวจของ Boston Consulting Group ในปี 2023 พบว่า ธุรกิจที่ปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจได้ 10-20%
ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจที่ปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจาก Climate Change จะได้รับประโยชน์ทั้งในแง่ของต้นทุน โอกาสทางธุรกิจ รวมไปถึงได้ภาพลักษณ์ที่ดีที่จะสร้างความได้เปรียบในการเข้าถึงลูกค้าในยุคปัจจุบัน
ที่มา :
- งานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future โดย ttb
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- Boston Consulting Group
- McKinsey
- PwC, Deloitte
- World Bank
finbiz by ttb
โครงการเสริมความรู้สู่การเป็น Smart SME ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม
พร้อมองค์ความรู้ ที่ครบครัน จาก Partner ชั้นนำทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวผ่านความท้าทายของโลกปัจจุบัน
ปรับตัวตอบโจทย์ยุคดิจิทัล พร้อมมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
อัปเดตทุกดิจิทัลเทรนด์ และความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด
เพียงแอดไลน์ @ttbSME