การวางแผนการเงินที่ดีนับเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินในอนาคต เพราะการวางแผนที่ดีจะช่วยให้เรามีเงินออมเพียงพอ และยังลดความเสี่ยงทางการเงินได้ ทั้งนี้ ยังรวมถึงในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้เงิน ดังนั้น การวางแผนการเงินจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยเด็ดขาด
ความสำคัญของการวางแผนการเงิน
เพราะการวางแผนการเงินไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดสรรเงินเดือนให้พอใช้จ่ายในแต่ละเดือนเท่านั้น แต่เป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงในชีวิต ช่วยให้เรามองเห็นเป้าหมายทางการเงินของตัวเองได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บออมเพื่อซื้อบ้าน รถ การวางแผนเกษียณ หรือแม้แต่การเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจนำไปสู่ภาวะหนี้สินสะสม หรือขาดสภาพคล่องในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เพราะฉะนั้น การมีแผนการเงินที่รัดกุมก็จะช่วยให้สามารถเราบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเครียดและสร้างวินัยในการใช้จ่าย เพื่อให้สภาพทางการเงินที่แข็งแรงในระยะยาว
วางแผนการเงินตามช่วงอายุ
การวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องของคนวัยใดวัยหนึ่ง แต่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำตั้งแต่เริ่มต้นวัยทำงานไปจนถึงวัยเกษียณ เพราะแต่ละช่วงอายุมีภาระ เป้าหมาย และความเสี่ยงที่ต่างกัน การรู้จักวางแผนให้เหมาะกับแต่ละช่วงชีวิต จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลง
วัยเริ่มทำงาน (อายุ 20 – 30 ปี) - สร้างวินัยทางการเงินตั้งแต่ต้น
ช่วงวัยนี้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทางการเงิน หลายคนเพิ่งเริ่มมีรายได้จากการทำงาน อาจยังไม่มีภาระมากนัก แต่ก็เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงในอนาคต
- ทำบัญชีรายรับรายจ่าย จดบันทึกรายการใช้จ่ายของตัวเอง เพื่อควบคุมการใช้เงิน และรู้ว่าควรปรับพฤติกรรมตรงไหน
- เริ่มออมเงิน ตั้งเป้าออมอย่างน้อย 10 - 20% ของรายได้ทุกเดือน
- สร้างกองทุนฉุกเฉิน เผื่อเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วย โดยควรมีเงินสำรองประมาณ 3 - 6 เท่าของรายได้ต่อเดือน
- เริ่มลงทุนเล็ก ๆ การลงทุนแม้ในวงเงินเล็ก ๆ จะช่วยให้เงินเติบโตได้มากกว่าการเก็บออมอย่างเดียว รวมถึงการลงทุนในตัวเอง เช่น เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ก็ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับอนาคตเช่นกัน
- วางแผนเกษียณ ดูเหมือนเกษียณจะอยู่ไกล แต่การเริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพราะหากคุณยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งมีโอกาสสะสมได้มาก เช่น กองทุน RMF หรือประกันบำนาญ เป็นต้น
วัยสร้างตัว (อายุ 31 – 40 ปี) - วางแผนครอบครัวและจัดการหนี้สิน
วัยนี้ถือเป็นช่วงที่หลายคนเริ่มมีครอบครัว ซื้อบ้าน มีลูกหรือเริ่มทำธุรกิจ เรียกได้วว่าเป็นช่วงอายุที่มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จึงทำให้การวางแผนทางการเงินต้องมีเป้าหมายชัดเจนและรอบคอบมากขึ้น
- วางแผนค่าใช้จ่ายระยะยาว วางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สำคัญในอนาคต เช่น ค่าเทอมโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยของลูก รวมถึงการผ่อนบ้านหรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้สามารถจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่กระทบต่อการเงินในชีวิตประจำวัน
- บริหารหนี้ให้ดี เริ่มต้นที่การแยกแยะระหว่างหนี้ดี และหนี้เสียให้ชัดเจน โดยหนี้ดี เช่น สินเชื่อเพื่อการลงทุน หรือกู้เพื่อซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต อย่างบ้านหรือการศึกษาที่ช่วยเพิ่มรายได้ ถือว่าเป็นหนี้ที่ช่วยต่อยอดทางการเงิน ในขณะที่หนี้เสีย เช่น หนี้บัตรเครดิตที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่มีการควบคุม หรือหนี้ที่ก่อขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต จะเป็นภาระที่อาจทำให้การเงินติดขัดในระยะยาว หากบริหารไม่ดี หนี้เสียเหล่านี้จะกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาทางการเงินสะสม เช่น ดอกเบี้ยทบต้น รายรับไม่พอรายจ่าย และกระทบต่อเครดิตทางการเงินในอนาคต
- ทำประกันชีวิตและสุขภาพ การมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพช่วยปกป้องครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงิน รวมถึงการวางแผนใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นในระยะยาว แนะนำให้เลือกกรมธรรม์แบบที่คุ้มครองโรคร้ายแรง และสามารถลดหย่อนภาษีได้ เช่น ประกันชีวิตลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท/ปี ประกันสุขภาพอีก 25,000 บาท
- ลงทุนต่อเนื่อง เพิ่มความหลากหลายในพอร์ตลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนของตัวเอง
วัยมั่นคง (อายุ 41 – 60 ปี) - เร่งสร้างทรัพย์สินเพื่ออนาคต
ช่วงวัยนี้มักมีรายได้สูงสุดในชีวิต และมีประสบการณ์ทางการเงินมากขึ้น จึงเป็นเวลาสำคัญในการเร่งสะสมทรัพย์สินและเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมั่นคง
- เพิ่มการลงทุนระยะยาว มองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ เช่น หุ้นที่จ่ายปันผล อสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เช่น ซื้อคอนโดเพื่อนำมาปล่อยเช่าในราคาเดือนละ 8,000 บาท ก็ถือเป็นแหล่งรายได้เสริมที่มั่นคงในระยะยาว
- ทบทวนเป้าหมายทางการเงินทุกปี ควรทบทวนเป้าหมายทางการเงินเป็นประจำทุกปี พร้อมตรวจสอบพอร์ตการลงทุน และปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว อาจพิจารณาลดการลงทุนในหุ้น แล้วเพิ่มสัดส่วนในตราสารหนี้หรือทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาความมั่นคงของพอร์ตโดยรวม
- วางแผนเกษียณอย่างจริงจัง โดยคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้หลังเกษียณ เช่น หากต้องการใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท ตั้งแต่อายุ 60 ถึง 85 ปี รวมระยะเวลา 25 ปี จะต้องมีเงินเก็บประมาณ 9 ล้านบาท จากนั้นวางแผนออมเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย เช่น ออมผ่านกองทุน RMF เดือนละ 5,000 บาท เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมั่นคง
- วางแผนทรัพย์สินและมรดก ทำพินัยกรรมเพื่อระบุผู้รับผลประโยชน์อย่างชัดเจน เช่น บุตรหรือคู่สมรส พร้อมทั้งวางแผนภาษีมรดกล่วงหน้า เช่น การโอนทรัพย์สินบางส่วนไว้ก่อนเสียชีวิต เพื่อบริหารภาระภาษีและลดความขัดแย้งในอนาคต
เพราะช่วงวัยนี้เป็นวัยที่ใกล้ถึงวัยเกษียณมาก ๆ จึงทำให้การวางแผนการเงินต้องเน้นเรื่องความมั่นคง ลดความเสี่ยง และเตรียมพร้อมใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการวางแผนเรื่องทรัพย์สิน อย่างการทำพินัยกรรม หรือจัดสรรทรัพย์สินให้ครอบครัวด้วยเช่นกัน
7 เทคนิควางแผนการเงินให้ครอบคลุม
ทีทีบี มี 7 เทคนิคการวางแผนการเงินให้ครอบคลุม และตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างรอบด้าน และมีประสิทธิภาพ เพื่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนี้
1. คำนวณและประเมินสถานภาพทางการเงิน
เริ่มต้นวิธีการวางแผนการเงินที่สำคัญเป็นอันดับแรก คือการคำนวณสถานภาพทางการเงินของตนเอง โดยจะรวมถึงการนำรายรับที่ได้ทั้งหมดต่อเดือน มาหักลบค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่จำเป็นต้องจ่าย ทั้งนี้ เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมได้มากยิ่งขึ้นการบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่าย จะทำให้คุณสามารถเห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
2. เสริมความรู้ทางการเงิน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ คือการไม่หยุดเรียนรู้เรื่องการเงิน หากคุณเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่าย การออม การลงทุน การจัดการหนี้และภาษี จะช่วยให้สามารถวางแผนได้รอบคอบมากขึ้น ปัจจุบันมีแหล่งความรู้ทางการเงินมากมายที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น เว็บไซต์ธนาคาร บทความออนไลน์ คลาสเรียนฟรี หรือพอดแคสต์ด้านการเงิน หากคุณศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด ก็จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการจัดการเงิน และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีหลักการมากขึ้น
3. วางแผนการออม
หลังจากจัดการกับภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายในแต่ละเดือนแล้ว การออมก็เป็นอีกรากฐานที่สำคัญของความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องการเงินก้อน หรือแม้แต่สถานการณ์การลงทุนอนาคตก็ยังสามารถนำเงินก้อนตรงนี้มาใช้ได้ ทั้งนี้ การออมยังช่วยสร้างวินัยทางการเงินได้อีกด้วย
4. การลงทุน
เพิ่มต่อยอดให้งอกเงย การลงทุนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยสร้างเงินและผลกำไรที่มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เงินอยู่เฉย ๆ สามารถนำไปลงทุนและสร้างผลตอบแทนได้ เช่น การลงทุนในตลาดหุ้น การซื้อกองทุน อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการลงทุนในธุรกิจ ทั้งนี้ เลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม ควรตัดสินใจให้ดีก่อนลงทุน เพราะการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง
5. การบริหารจัดการหนี้
หลังจากแบ่งสัดส่วนจากรายได้ที่ได้รับมาในแต่ละเดือนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นการวางแผนการเงินที่จะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการบริหารจัดการหนี้ หลังจากแบ่งสรรปันส่วนแยกออกไปออม หรือลงทุนแล้ว เงินที่เหลือใช้ก็อาจจะแบ่งออกมาจ่ายค่างวดในแต่ละเดือนได้ แต่ก่อนจะนำไปโปะค่าหนี้ มาทำความรู้จักกับ ‘หนี้’ กันก่อนดีกว่า รู้หรือไม่? ว่าหนี้สามารถแบ่งออกได้ทั้ง 2 ประเภท
หนี้ดี
หนี้ดี คือหนี้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการเงินในระยะยาว กล่าวคือเป็นการกู้ยืมที่มีเหตุผล และวัตถุประสงค์ชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่า หรือโอกาสทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผู้กู้มักมีความสามารถในการชำระคืนรวมทั้งมีการวางแผนการเงินที่รอบคอบ เช่น การกู้สินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจ อย่างการขอสินเชื่อส่วนบุคคล หรือการกู้เพื่อซื้อบ้าน นับเป็นหนี้ดี เพราะเป็นการกู้ โดยมีวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน และมองเห็นประโยชน์ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หนี้ดีมักมีลักษณะสำคัญ คืออัตราดอกเบี้ยที่สมเหตุสมผล รวมทั้งระยะเวลาการชำระคืนที่เหมาะสม และสร้างผลตอบแทน หรือประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่าต้นทุนของการกู้ยืม
หนี้ไม่ดี
หนี้ไม่ดี คือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม หรือรายได้ในอนาคต ส่วนใหญ่มักเป็นการกู้ยืม เพื่อการบริโภคหรือเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย โดยผู้กู้อาจไม่มีความสามารถในการชำระคืนที่เพียงพอ จนอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว เช่น การติดหนี้บัตรเครดิตที่สูงจนเกินไป อันเนื่องมาจากการใช้จ่ายที่อู้ฟู่จนเกินตัว การกู้เงินนอกระบบ หรือการกู้ยืมเพื่อนำเงินก้อนใหม่ที่ได้มาโปะหนี้ก้อนเก่า
โดยหนี้ไม่ดีมักมีลักษณะสำคัญ คืออัตราดอกเบี้ยที่สูง ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือมูลค่าเพิ่มในอนาคต และยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้กู้ในระยะยาวอีกด้วย
แต่ในกรณีที่ชักหน้าไม่ถึงหลังจริง ๆ สภาพการเงินตอนนี้ค่อนข้างที่จะตึงมือ อย่าเพิ่งไปพึ่งการกู้ยืมนอกระบบนะ เพราะอาจจะกลายเป็นหนี้ไม่ดี จนพบเจอกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงจนต้องตกอยู่ในวงจรหนี้ที่ไม่อาจหลุดพ้น สามารถมองหาบริการสินเชื่อส่วนบุคคล จาก ttb ที่จะช่วยจัดการค่าใช้จ่ายในชีวิตคุณได้อย่างสบาย ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ช่วยให้คุณสบายกระเป๋ามากยิ่งขึ้น
- สินเชื่อส่วนบุคคล แคชทูโก วางแผนการเงิน จัดการหนี้ได้อย่างเร่งด่วนด้วยเงินก้อน สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ต้องรอนาน พร้อมรับเงินสดเข้าบัญชีในวงเงินสูงสุดถึง 2 ล้านบาท และยังผ่อนได้นานสูงสุดถึง 72 เดือน อย่างไรก็ตามกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 18% - 25% ต่อปี
- บัตรกดเงินสด ทีทีบี แฟลช อีกหนึ่งบริการสินเชื่อบุคคลที่ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้แบบไม่มีสะดุด เพียง พกบัตรกดเงินสด ทีทีบี แฟลชไว้ก็อุ่นใจ ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าเบิกถอนเงินสด และค่าธรรมเนียมรายปี หากฉุกเฉินทางการเงินเมื่อไหร่ก็มีเงินสำรองหมุนเวียนในการใช้จ่ายได้ทันที หรือต้องการปิดหนี้บัตรเครดิตก็สบาย แค่สมัครบัตรกดเงินสดทีทีบีแฟลช บริการโอนหนี้เพื่อนำไป ทำการรวมหนี้ไว้ทีเดียว ดอกเบี้ยคงที่เริ่มต่ำเพียง 13% ต่อปี ช่วยให้ดอกเบี้ยถูกลด เพิ่มสภาพคล่อง การชำระหนี้เพียงที่เดียว การวางแผนทางการเงินก็สะดวกขึ้น ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อ ควรพิจารณากู้เท่าที่จำเป็นและสามารถชำระคืนไหว ดอกเบี้ย 25% ต่อปี
6. เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน
เงินสำรองฉุกเฉิน คือหนึ่งในรากฐานสำคัญของการวางแผนการเงินที่มั่นคง เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อไร เช่น ตกงาน เจ็บป่วยหรือรถเสีย ดังนั้น การมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ก็จะช่วยให้เรารับมือได้ ควรเก็บเงินสำรองอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของรายได้ต่อเดือน โดยแยกไว้ในบัญชีที่เข้าถึงง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงหรือกองทุนตลาดเงิน และควรแยกจากบัญชีใช้จ่ายประจำ เพื่อป้องกันการเผลอใช้ และให้มั่นใจว่าเรามีกันชนทางการเงินที่เพียงพอในทุกสถานการณ์
7. วางแผนลดหย่อนภาษี
ในฐานะมนุษย์เงินเดือน สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีคือการยื่นภาษีประจำปี ถึงแม้จะวางแผนการเงินและจัดการค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปเรียบร้อยแล้ว หากจะให้เสียภาษีเต็ม ๆ ก็อาจจะมีเซหรือเป๋กันไปบ้าง แต่หากเรามีการวางแผนการเงิน และมีการวางแผนลดหย่อนภาษีที่ดีพอ จะช่วยให้คุณประหยัดได้มากยิ่งขึ้น
สิทธิ์ลดหย่อนภาษี
การตรวจเช็กสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี หรือการเตรียมไว้เนิ่น ๆ ก่อนถึงรอบยื่นภาษีประจำปี นับว่าเป็นการวางแผนระยะยาว และจะยังช่วยให้คุณประหยัดได้มากยิ่งขึ้น โดยมีวิธีลดหย่อนที่คนทำงานอาจจะมองข้ามไป ดังนี้
- ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนภาษีบุตร ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและคู่สมรส เป็นต้น
- ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้น
- ค่าลดหย่อนกลุ่มเงินบริจาค เช่น เงินบริจาคทั่วไป เงินบริจาคเพื่อการศึกษา เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง เป็นต้น
- ค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือดอกเบี้ยที่จ่ายเพื่อซื้อคอนโด-ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เลือกช้อปสินค้าในรายการสินค้าช้อปดีมีคืน โดยสามารถนำรายการใช้จ่ายนี้ ไปลดหย่อนภาษีได้
วิธีการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นปีแรก หรือคนที่จำเป็นจะต้องเสียภาษีประจำปี ทีทีบี มีวิธีการคำนวณภาษีง่าย ๆ ตามรายการที่กฎหมายกำหนดไว้ให้โดยสามารถนำไปหักออกจากเงินที่ได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
1. คิดภาษีแบบขั้นบันได
วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยใช้วิธีการคำนวณแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีเงินได้สุทธิสูง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สูงขึ้นจะใช้คำนวณเฉพาะเงินได้ในส่วนที่เกินจากขั้นก่อนหน้าเท่านั้น ไม่ได้นำไปคูณกับเงินได้สุทธิทั้งจำนวน โดยสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้
เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
หลังจากคำนวณตามสูตรด้านบนได้แล้ว สามารถนำผลลัพธ์รายได้สุทธิที่เราได้ต่อปี มาเทียบตามตารางภาษีแบบขั้นบันได เช่น ได้รับเงินเดือน เดือนละ 25,000 รายได้สุทธิ/ต่อปี เท่ากับ 300,000 บาท จำเป็นต้องเสียภาษี 5%
เงินได้สุทธิ (บาท) | อัตราภาษี |
---|---|
1 - 150,000 | ยกเว้นชำระภาษี |
150,001 - 300,000 | 5% |
300,001 - 500,000 | 10% |
500,001 - 750,000 | 15% |
750,001 - 1,000,000 | 20% |
1,000,001 - 2,000,000 | 25% |
5,000,001 ขึ้นไป | 35% |
สามารถนำรายได้สุทธิที่เราได้ต่อปี มาเทียบตามตารางภาษีแบบขั้นบันได เช่น ได้รับเงินเดือน เดือนละ 25,000 รายได้สุทธิ/ต่อปี เท่ากับ 300,000 บาท จำเป็นต้องเสียภาษี 5%
2. คิดภาษีแบบเหมา
วิธีการคิดภาษีวิธีนี้นั้น จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อคุณเป็นผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน หรือคุณต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ตามมาตรา 40(2) - 40(8) เช่น ค่างานฟรีแลนซ์ ค่าเช่า กำไรจากธุรกิจ เงินปันผล รายได้จากการขายของออนไลน์ เป็นต้น รวมกันทั้งปีตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้น โดยให้นำรายได้ทางอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนไปคำนวณในอัตรา 0.5%
ทั้งนี้ วิธีการคำนวณภาษีแบบเหมาก็มีข้อควรระวังเช่นกัน โดยจะต้องคำนวณทุกรายได้จากทุกช่องทาง ที่ไม่ใช่เงินเดือน ดังนี้
ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน x 0.5%
หากคำนวณออกมาแล้วได้ภาษีไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามวิธีที่ 2 ตามพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 480 พ.ศ. 2552
3. คิดภาษีพร้อมสิทธิ์ลดหย่อนภาษี
วางแผนการเงินให้รัดกุมได้มากยิ่งขึ้นด้วยสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ทั้งหากคิดภาษีตามอัตราขั้นบันได หรือแบบเหมาไปแล้ว พบว่ายังต้องจ่ายค่าภาษีในจำนวนที่มากอยู่ สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามวิธีการลดหย่อนด้านบนได้ เพื่อประหยัดเงิน และสามารถใช้เงินได้อย่างไม่ต้องตึงหน้าตึงหลัง โดยมีสูตรการคำนวณ ดังนี้
รายได้ทั้งหมด/ ต่อปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน (ตามสิทธิ์การลดหย่อน) = รายได้สุทธิ
จากนั้นนำ รายได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
เอกสารสำหรับใช้ยื่นภาษีมีอะไรบ้าง ?
การยื่นภาษีมี 2 รูปแบบ คือแบบ ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนประจำ และภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือน และไม่มีรายได้อื่นเสริม โดยมีเอกสารที่จะต้องใช้ประกอบ เพื่อยื่นภาษี ดังนี้
- แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 หรือภ.ง.ด. 91
- หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย หรือใบทวิ 50
- เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ
การวางแผนการเงินที่ดี ช่วยให้ประหยัดได้มากยิ่งขึ้น
การวางแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว โดยสามารถนำ 7 เทคนิคสำคัญในการวางแผนทางการเงิน และที่สำคัญคือวิธีการลดหย่อนภาษีที่จะช่วยให้คุณประหยัด และยังเป็นแผนที่รัดกุมต่อสภาพคล่องทางการเงินของคุณ
หากการวางแผนทางการเงินคุณสะดุด ต้องการกู้เงินด่วน กู้เงินแบบถูกกฎหมาย ขอสินเชื่อส่วนบุคคลง่าย อนุมัติไว ต้องสินเชื่อส่วนบุคคล แคชทูโก แก้ปัญหาการเงิน พร้อมช่วยให้คุณจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อนุมัติแล้วก็เตรียมรับเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชี วงเงินสูงสุดถึง 2 ล้านบาท และยังผ่อนได้นานถึง 72 เดือน แต่อย่าลืมว่าควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหวเท่านั้นนะ เพราะอัตราดอกเบี้ย 18% - 25% ต่อปี
หรือบัตรกดเงินสด ทีทีบี แฟลช ช่วยเพิ่มสภาพคล่องกระเป๋าเงินให้ได้หยิบ จ่าย ใช้สอยได้อย่างสะดวก ไร้กังวล สามารถเบิกและถอนเงินสดผ่านแอป ttb touch และตู้ ATM ได้ง่าย ตลอด 24 ชม. และยังสามารถวางแผนการเงิน โดยการเลือกผ่อนแบบเท่ากันทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกเงินสด ค่าแรกเข้าและรายปี พร้อมอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี หรือรวมหนี้มาอยู่กับ ทีทีบี อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เริ่มต้นเพียง 13% ต่อปีเท่านั้น ทั้งนี้ ควรตัดสินใจก่อนยื่นขอสินเชื่อ และควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหวเท่านั้น
**เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด