- หากคุณสงสัยว่า ควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไหม? บทความนี้รวมทุกเรื่องที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตั้งแต่การประเมินว่ารถ EV เหมาะกับคุณหรือไม่ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายที่แท้จริงที่ต้องเตรียม และคำแนะนำในการดูแลรักษา
- เรียนรู้ความแตกต่างของรถ EV แต่ละประเภท เข้าใจระบบการชาร์จแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ การเตรียมความพร้อมสำหรับการติดตั้งที่ชาร์จที่บ้าน และข้อควรระวังในการใช้งาน
จากกระแสรถ EV ที่กำลังมาแรง และค่าน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในตอนนี้ ทำให้หลาย ๆ คนอยากเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV กันมาขึ้น แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังลังเลอยู่ว่า จะหันไปใช้รถ EV ดีไหม? ซึ่งในบทความนี้ ttb DRIVE จะพาไปทำความรู้จักกับรถ EV หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันให้มากขึ้นว่า รถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าดีไหม? เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่? รถไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอินแตกต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดอย่างไร? เพื่อให้ทุกคนนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อกัน กับ 20 ข้อควรรู้ ก่อนออกรถ EV ไปอ่านกันเลย
ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าดีไหม? รวม 20 ข้อควรรู้ก่อนออกรถไฟฟ้า รถ EV
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางราคาน้ำมันที่พุ่งสูงและความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้หลายคนเริ่มมองหารถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV (Electric Vehicle) เป็นทางเลือกใหม่ แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะออกรถไฟฟ้าดีไหม? คุณควรทำความเข้าใจข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ให้ครบถ้วนก่อน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ศึกษาข้อมูลและสเปกของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการซื้อ
ก่อนตัดสินใจซื้อรถ EV ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบของรถไฟฟ้าและข้อมูลสำคัญ เช่น ช่วงราคา ระยะทางสูงสุดในการขับขี่ ประสิทธิภาพของพลังงาน ประเภทของ EV Charger และระบบออปชันต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าคันที่เลือกตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณ
2. เลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
รถไฟฟ้าเหมาะกับใครบ้าง? รถ EV เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถในเมืองเป็นหลัก มีที่จอดรถส่วนตัวสำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จ และมีรูปแบบการเดินทางที่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ เนื่องจากต้องคำนึงถึงระยะทางและเวลาในการชาร์จไฟ ส่วนผู้ที่ต้องเดินทางไกลบ่อย ๆ หรือต้องใช้รถเร่งด่วนโดยไม่สามารถวางแผนล่วงหน้า อาจต้องพิจารณาให้รอบคอบ
3. ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า
ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรรู้ก่อนออกรถ EV เป็นอันดับแรก ๆ เลย เพราะรถ EV แต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องของพลังงานที่ใช้และการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันเราสามารถแบ่งรถยนต์ไฟฟ้า EV ในไทยได้ 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV)
ใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงสลับกับพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้ ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงกว่าการใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว - รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV)
ใช้น้ำมันและพลังงานไฟฟ้าเหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด แต่จะสามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟได้จากภายนอก (Plug-in) - รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)
ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% ทำให้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง - รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle : FCEV)
ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) โดยเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากการเติมเชื้อเพลิงภายนอก
4. ค่าใช้จ่ายรถยนต์ไฟฟ้า
การเป็นเจ้าของรถ EV มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป มาดูกันว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างและทำไมถึงต้องจ่าย
ค่าใช้จ่ายก่อนใช้งาน
ค่าใช้จ่ายแรกที่สำคัญคือตัวรถ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ามักมีราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในระดับเดียวกันประมาณ 20-30% เนื่องจากต้นทุนแบตเตอรี่และเทคโนโลยีที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบชาร์จที่บ้าน ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้รถ EV เพราะช่วยให้สะดวกในการใช้งานและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยต้องลงทุนทั้งตัวเครื่องชาร์จ Wall Box การปรับปรุงระบบไฟฟ้าในบ้าน และการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าให้รองรับกำลังไฟที่สูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายประจำ
ค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องจ่ายเป็นประจำคือค่าไฟฟ้า ซึ่งจะมาแทนที่ค่าน้ำมันในรถยนต์ทั่วไป โดยค่าไฟฟ้าจะแตกต่างกันตามวิธีการชาร์จ การชาร์จที่บ้านจะมีต้นทุนต่ำที่สุด ในขณะที่การชาร์จที่สถานีสาธารณะจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแต่ชาร์จได้เร็วกว่า อีกค่าใช้จ่ายที่สำคัญคือค่าประกันภัย ซึ่งมักสูงกว่ารถยนต์ทั่วไปเนื่องจากมูลค่ารถที่สูงกว่า อะไหล่ที่มีราคาแพงและหายาก รวมถึงจำนวนช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีจำกัด
ค่าบำรุงรักษา
ในแง่การบำรุงรักษา รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อได้เปรียบคือมีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลน้อยกว่ารถยนต์ทั่วไป ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและอะไหล่เครื่องยนต์หลายรายการ แต่ก็ยังต้องดูแลระบบสำคัญ ๆ เช่น ระบบเบรก ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ และระบบช่วงล่าง ส่วนอะไหล่สิ้นเปลืองอย่างผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเพราะมีระบบเบรกรีเจนเนอเรทีฟช่วย แต่ยางอาจสึกหรอเร็วกว่าเล็กน้อยเนื่องจากน้ำหนักรถที่มากกว่า
ค่าใช้จ่ายระยะยาว
ค่าใช้จ่ายที่สำคัญที่สุดในระยะยาวคือการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพจนความจุลดลงต่ำกว่า 70-80% โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลังใช้งาน 6-8 ปี ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ถือเป็นก้อนใหญ่ที่สุดในการใช้รถ EV อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ทั้งค่าเชื้อเพลิงที่ถูกกว่า ค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่า และภาษีประจำปีที่ต่ำกว่า ผู้ใช้รถที่วิ่งเป็นระยะทางมากพอจะสามารถคุ้มทุนได้ภายใน 4-6 ปี
5. การเสียภาษีของรถ EV
รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ในระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จะได้ลดภาษีลงร้อยละ 80 โดยรถเก๋งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 1,600 บาท ลดภาษีประจำปีแล้วจะคงเหลือ 320 บาท ซึ่งการลดภาษีประจำปีเป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รถนั้นจดทะเบียน
6. ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่
การชาร์จแบบธรรมดาด้วยไฟบ้านเป็นกระแสสลับจะใช้เวลา 12-16 ชม. ส่วนการชาร์จแบบรวดเร็วจากตู้ไฟฟ้า EV Charger จะใช้เวลา 4–7 ชม. และชาร์จแบบด่วนตามสถานีชาร์จนอกบ้านที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง จะใช้เวลา 40-60 นาที ดังนั้น หากไม่สะดวกในการตามหาสถานีชาร์จ เราก็ควรจะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี หรือควรเผื่อเวลาสำหรับการชาร์จจะดีที่สุด
7. รูปแบบการชาร์จมีกี่ประเภท
หลายคนที่สนใจออกรถ EV ซึ่งสำคัญที่เราต้องรู้คือเรื่องรูปแบบการชาร์จว่ามีประเภทไหนบ้าง แบบไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์การเดินทางของเราเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนรถ EV ซึ่งปัจจุบันรถ EV มีรูปแบบการชาร์จหลักถึง 3 รูปแบบเพื่อตอบสนองกับการใช้งานของเรามากที่สุดดังนี้
- การชาร์จแบบเร็ว QUICK CHARGER เป็นการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) โดยใช้ตู้ EV Charger ตามสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วไป
- การชาร์จแบบธรรมดาแบบ DOUBLE SPEED CHARGE (เครื่องชาร์จ WALL BOX) เป็นการชาร์จด้วยไฟกระแสไฟฟ้าสลับ (AC Charging) ส่วนใหญ่จะเห็นกันในรูปของตู้ชาร์จติดผนังตามห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรม
- การชาร์จฯ แบบธรรมดา แบบ NORMAL CHARGE เป็นการแบบต่อจากเต้ารับภายในบ้านโดยตรง ซึ่งที่มิเตอร์ไฟของบ้านจะต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าขั้นต่ำ 15(45)A และเต้ารับไฟในบ้านต้องได้รับการติดตั้งใหม่เป็นเต้ารับเฉพาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากรถ EV ต้องใช้กระแสไฟฟ้าสูงขณะทำการชาร์จ จึงควรต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านให้มีความเหมาะสมต่อปริมาณความต้องการกระแสไฟฟ้าก่อนนั่นเอง
8. อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ใช้ได้กี่ปี?
แบตเตอรี่รถ EV มีอายุการใช้งานประมาณ 6-8 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา ราคาแบตเตอรี่มีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาท
9. เตรียมค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง EV Charger ในบ้าน
การติดตั้ง EV Charger ในบ้านเป็นการลงทุนที่จำเป็นสำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า เพราะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวและเพิ่มความสะดวกในการชาร์จ โดยค่าใช้จ่ายหลักประกอบด้วย ตัวเครื่องชาร์จ Wall Box ราคา 35,000-75,000 บาท (ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการใช้งาน) ค่าปรับปรุงระบบไฟฟ้า 5,000-20,000 บาท และค่าเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า 4,700-15,000 บาท
10. ความคุ้มในเรื่องของระยะทางการขับขี่
จริง ๆ แล้วรถจะวิ่งได้ไกลไหมนั้น ขึ้นอยู่กับระยะทางในการขับขี่และขนาดของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV โดยความจุของแบตเตอรี่ 60-90 kW จะสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 338-473 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ดังนั้น รถ ev อาจจะไม่เหมาะกับการเดินทางไกล ๆ แต่ก็สามารถใช้ได้หากเราวางแผนเรื่องการเดินทางและตรวจสอบสถานีชาร์จก่อนออกเดินทางแล้ว
11. การขับรถ EV ลุยน้ำ
โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นรถประเภทไหนก็ไม่ควรขับลุยน้ำที่ท่วมสูง สำหรับรถ EV เองแม้จะมีเครื่องยนต์ที่น้อยและไม่มีระบบเกียร์หรือพวกน้ำมันของเหลวในรถมากมาย แต่หากน้ำท่วมสูงเลยขอบประตูรถแล้วก็ไม่แนะนำให้ขับต่อ เพราะน้ำอาจเข้ามาในตัวรถจนทำให้ระบบต่าง ๆ เสียหายหรือหยุดการทำงานได้ แต่หากขับรถที่ลุยน้ำท่วมมาควรไล่น้ำออกจากผ้าเบรก โดยแตะเบรกซ้ำ ๆ ประมาณ 5–10 นาที จากนั้นควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปตรวจเช็กที่ศูนย์รถยนต์อีกครั้ง
12. รถไฟฟ้าประหยัดจริงไหม? ประหยัดได้อย่างไร?
การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง โดยจะมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีความแตกต่างกันตามประเภทของการเติมพลังงาน แหล่งที่รับพลังงานมา และนโยบายของรัฐบาล โดยหากชาร์จไฟที่บ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละประมาณ 2.6369 บาท/หน่วย ส่วนการชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ อาจจะมีค่าบริการอยู่ประมาณ 7.5 บาท/หน่วย ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางประมาณ 4-7 กิโลเมตร/หน่วยเลยทีเดียว
13. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาแพงแค่ไหน?
รถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีชิ้นส่วนน้อยกว่าทั้งรถปกติ ส่งผลให้มีค่าดูแลรักษาที่ต่ำกว่าตามไปด้วย เช่น ไม่มีค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ส่วนอะไหล่ทั่วไปอย่างไฟส่องสว่าง คอนโซล หรือเบาะนั่ง จะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคล้ายกับรถยนต์ทั่วไปตามแบรนด์นั้น ๆ
14. มาตรฐานความปลอดภัยของรถ EV
รถ EV มีการออกแบบรถให้เกิดความปลอดภัย ด้วยการใส่อุปกรณ์เสริมป้องกันภัย และดีไซน์พื้นที่เหลือเผื่อสำหรับการยุบตัว และกระจายแรงกระแทก (Crumple Zone) ไม่ให้กระแทกผู้โดยสารเร็ว หรือแรงเกินไปในกรณีอุบัติเหตุได้
15. มีบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือหรือไม่
ควรเลือกแบรนด์ที่มีศูนย์บริการครอบคลุม มีอะไหล่พร้อม และมีทีมช่างที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านรถ EV เพื่อความมั่นใจในการใช้งานระยะยาว
16. เปรียบเทียบค่าเชื้อเพลิงที่ต้องจ่าย
การใช้ไฟฟ้าประหยัดกว่าน้ำมันประมาณ 60-70% โดยการชาร์จที่บ้านในช่วง Off-Peak จะประหยัดที่สุด เมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันในราคาปัจจุบัน
17. รถไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอินแตกต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดอย่างไร?
รถไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV) สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้และวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะหนึ่ง ในขณะที่รถไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ใช้พลังงานจากการเบรกและเครื่องยนต์ในการชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น
18. เลือกซื้อรถไฟฟ้าจากแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ
การเลือกซื้อรถไฟฟ้าควรพิจารณาแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นสำคัญ เนื่องจากตลาดรถ EV ในไทยยังถือว่าใหม่ และหลายแบรนด์เพิ่งเข้ามาทำตลาด ควรเลือกแบรนด์ที่มีประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์ มีความมั่นคงทางการเงิน และมีศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ควรพิจารณาความพร้อมด้านบริการหลังการขาย ทั้งการมีอะไหล่พร้อมให้บริการ ทีมช่างที่ผ่านการอบรมเฉพาะทาง และนโยบายการรับประกันที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการรับประกันแบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาสูง การเลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือจะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งานระยะยาวและรักษามูลค่าการขายต่อของรถ
19. ศึกษาข้อควรระวังในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
การใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถควรใส่ใจ โดยเฉพาะการดูแลระบบแบตเตอรี่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถ EV ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดเป็นเวลานานเพราะความร้อนสูงส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ในการชาร์จไฟ ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% หรือชาร์จเกิน 80% บ่อย ๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์และระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ดัดแปลงระบบการชาร์จโดยไม่ได้มาตรฐาน และควรเข้ารับการตรวจเช็กตามระยะที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน
20. ตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่
ก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าดีไหม? ควรสำรวจสถานีชาร์จในเส้นทางที่ใช้งานประจำ ทั้งที่ทำงาน เส้นทางที่ใช้บ่อย และสถานีชาร์จตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อความมั่นใจในการเดินทาง ปัจจุบันมีสถานีชาร์จจากหลายผู้ให้บริการ เช่น EV Station PluZ ของ ปตท. ที่มีให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
สรุปบทความ
แต่อย่างไรก็ตาม หากถามว่า รถ EV ดีไหม จะเหมาะกับเราหรือไม่นั้น อาจจะขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของเราด้วย เช่น หากเราอยู่คอนโดที่ใช้รถสาธารณะเป็นหลักหรือนำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาใช้ไม่บ่อย ราคาน้ำมันอาจจะไม่เป็นปัญหากับเรามากนัก แต่หากเราอาศัยอยู่บ้านที่ต้องเติมน้ำมันบ่อย ๆ เพื่อขับรถไป-กลับที่ทำงานไกล ๆ การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับเราเลย แต่ไม่ว่าเราจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน การออกรถยนต์ใหม่สักคันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะรถยนต์ต้องอยู่กับเราอีกนาน เราจึงต้องลองพิจารณาให้ดีว่ารถคันนั้นเหมาะกับการใช้ชีวิตของเราหรือไม่
เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองเหมาะกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV หรือไม่ ก็อย่าลืมวางแผนทางการเงิน ประเมินความสามารถในการซื้อ หรือ ผ่อนชำระ ว่าสามารถแบกรับค่าใช้จ่าย ค่าดูแลต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นไหวไหม และสำหรับใครที่สนใจอยากได้รถยนต์ใหม่ หรือรถยนต์ไฟฟ้า สินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ พร้อมให้บริการภายใต้เงื่อนไขที่น่าสนใจ
สมัครสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ttb DRIVE คลิก ที่นี่ เลย
- ให้วงเงินสูงสุด 100% ของราคาประเมินรถ
- รู้ผลอนุมัติเบื้องต้นไวภายใน 30 นาที (เมื่อเอกสารครบ)
- ดอกเบี้ยรถยนต์ใหม่แบบคงที่
- ชำระค่างวดเท่ากันตลอดอายุสัญญา
- ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 84 เดือน
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการคำปรึกษาด้านสินเชื่อ ทีทีบีไดรฟ์มีผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อที่พร้อมให้บริการและให้คำปรึกษาตลอดกระบวนการ คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างแท้จริง
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.21% - 10.00% ต่อปี