หลายคนคงเคยเจอปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ คือ เงินเดือนเพิ่งออกต้นเดือน แต่ยังไม่ทันกลางเดือน กลับพบว่าเงินหายไปเกือบหมดแล้ว พอถึงปลายเดือนก็ต้องทนอยู่แบบ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” หรือบางครั้งต้องหยิบยืมเงินจากเพื่อนหรือบัตรเครดิตมา ซึ่งล่วงหน้า หรือใช้การเปิดบัญชีออนไลน์แยกตามเป้าหมาย ก็จะช่วยให้เงินที่หามาอยู่กับเราได้นานขึ้น และไม่เกิดอาการเงินช็อต

เริ่มต้นจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
พื้นฐานการจัดการการเงินที่ทุกคนควรทำ คือ การจดบันทึกรายรับและรายจ่ายในแต่ละวัน หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เห็นภาพรวมพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง
รายรับ: เงินเดือน, โบนัส, รายได้เสริม, ดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝาก
รายจ่าย: ค่าอาหาร, ค่าน้ำมัน, ค่าที่พัก, ค่าบันเทิง, ค่าเดินทาง
เมื่อบันทึกอย่างต่อเนื่อง จะมองเห็นชัดเจนว่ามีค่าใช้จ่ายที่ “จำเป็น” และ “ไม่จำเป็น” อยู่ตรงไหน จากนั้นสามารถลดหรือตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้ ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องพกสมุดจดเสมอไป เพราะมีแอปพลิเคชันหลากหลายที่ช่วยทำบัญชีได้ง่าย เช่น แอปจดรายจ่าย แอปธนาคาร หรือแม้แต่การใช้ Excel ก็สะดวกเช่นกัน
วางแผนจัดสรรเงินล่วงหน้า
เมื่อรู้แล้วว่าเงินเข้า-ออกของเราอยู่ที่ไหน ขั้นตอนต่อมาคือการจัดสรรเงินล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละบาทถูกใช้อย่างมีเป้าหมาย วิธีที่นิยมคือการแบ่งเงินตามสัดส่วน เช่น
- 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น: เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง
- 30% สำหรับความสุขส่วนตัว: เช่น ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง
- 20% สำหรับการออมและการลงทุน: เช่น ออมเข้าบัญชีเงินฝาก หรือซื้อกองทุนรวม
การวางกรอบแบบนี้ช่วยให้มีความสมดุลระหว่าง “การใช้เงินวันนี้” และ “การเก็บเงินเพื่ออนาคต” และลดความเสี่ยงที่จะหมดตัวก่อนถึงสิ้นเดือน
เปิดบัญชีแยกตามเป้าหมายการเงิน
อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยป้องกันการใช้เงินจนเกินตัว คือการเปิดบัญชีแยกตามเป้าหมาย เช่น
- บัญชีรายจ่ายประจำ ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน เช่น ค่าห้อง ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต
- บัญชีออมเงิน เงินเก็บที่ไม่ควรนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- บัญชีเป้าหมายเฉพาะกิจ เช่น เก็บเงินเที่ยว, ซื้อของชิ้นใหญ่, หรือเก็บเงินดาวน์บ้าน
การแยกบัญชีช่วยให้มองเห็นเงินแต่ละกองชัดเจน ไม่ปะปนกัน และทำให้ไม่เผลอนำเงินออมไปใช้จ่ายเกินความจำเป็น
ใช้บัตรเดบิตควบคุมการใช้จ่าย
สำหรับคนที่มักจะเผลอรูด บัตรเครดิต เกินตัว การใช้ บัตรเดบิต จะช่วยควบคุมการใช้เงินได้อย่างมีวินัยมากขึ้น เพราะบัตรเดบิตใช้เงินจากบัญชีที่เรามีอยู่จริง ไม่ใช่เงินอนาคตแบบบัตรเครดิต การใช้บัตรเดบิตจึงเปรียบเสมือน “เบรกทางการเงิน” ที่ป้องกันการเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ บัตรเดบิตสมัยใหม่ยังมีสิทธิประโยชน์ไม่แพ้บัตรเครดิต เช่น ฟรีค่าธรรมเนียม กด-โอน-จ่าย โปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าและบริการออนไลน์ที่มาพร้อมประกันอุบัติเหตุจากการเปิดบัญชีเงินฝากบางประเภท
ป้องกันเงินช็อตด้วยบัญชีเงินฝากดิจิทัล
ทุกวันนี้การ เปิดบัญชีออนไลน์ กลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องไปที่สาขาให้เสียเวลา ยกตัวอย่าง เช่น การเปิดบัญชี ttb all free ผ่านแอป ttb touch ที่ให้บริการเปิดบัญชีเงินฝากได้ภายในไม่กี่นาที เพียงใช้สมาร์ตโฟนและยืนยันตัวตนผ่าน NDID หรือสาขาใกล้บ้าน ก็สามารถมีบัญชีไว้ใช้และผูกกับบัตรเดบิตได้ทันที ข้อดีคือ
- บริหารจัดการเงินได้ทุกที่ทุกเวลา
- เช็กยอด โอน เติม จ่าย ง่ายผ่านแอป
- ใช้บัตรเดบิตที่ผูกกับบัญชีเงินฝากเพื่อควบคุมการใช้จ่าย
- สะดวกสำหรับการเปิดบัญชีแยกตามเป้าหมาย เช่น บัญชีเก็บเงินเที่ยว บัญชีเก็บเงินสำรอง
เคล็ดลับเสริมสำหรับไม่ให้เงินขาดมือ
- กันเงินออมก่อนใช้: ทุกครั้งที่เงินเดือนเข้า ให้โอนเข้าบัญชีเงินออมทันที 10–20%
- ตั้งตัดอัตโนมัติ: เพื่อไม่ลืมออมและช่วยสร้างวินัย
- ใช้บัตรเดบิตเป็นตัวควบคุม: พอเงินหมดก็จบ ไม่ต้องกังวลดอกเบี้ย
- สำรวจโปรโมชั่นบัญชีเงินฝากและบัตรเดบิต: เพื่อให้ได้เงินคืนหรือสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรเดบิต ttb all free และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์ ttb คลิก
แหล่งอ้างอิงบทความ:
- Harvard Business Review – How to Manage Your Money (แนวทางการจัดการเงินส่วนบุคคล)
https://hbr.org
- Investopedia – 50/30/20 Rule of Thumb for Budgeting (กฎการจัดสรรเงิน)
https://www.investopedia.com/50-30-20-rule-4769698
- ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) – ttb touch mobile application (ข้อมูลการเปิดบัญชีออนไลน์และการใช้บัตรเดบิต)
https://www.ttbbank.com
