“ฉันสบายดี” - - “ฉันแข็งแรง” - - “ฉันไม่เป็นอะไร” -- ต่อให้พยายามสะกดจิตบอกตัวเองอย่างไร แต่เรื่องของสุขภาพหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝืน ยิ่งไปกว่านั้นคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเป็นอะไรขึ้นมาตอนไหน
ยิ่งเดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายในการเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง นับวันก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือถ้าต้องเข้าไปนอนพักรักษาตัวด้วยแล้ว ตัวเลขไม่ต้องพูดถึง (แทบไม่อยากจะมองใบเสร็จ!) การเตรียมพร้อมทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้า จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้แบบไร้กังวล
ประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ทั้งจากการเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ หรือจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของผู้เอาประกันภัย แล้วจะเลือกอย่างไรดีล่ะ? เพราะประกันสุขภาพก็มีตั้งมากมายหลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือแต่ละแห่งก็ดูเหมือน ๆ กันไปหมด
เริ่มที่รูปแบบประกันสุขภาพ
ก่อนอื่นต้องดูว่าประกันสุขภาพแบบไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรามากที่สุด ซึ่งปัจจุบันเท่าที่มีอยู่ สามารถแบ่งได้ 5 แบบ คือ
1. ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD)
แผนประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่เรามีอาการเจ็บป่วย และได้รับคำแนะนำหรือคำวินิจฉัยของแพทย์ให้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง
2. ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD)
แผนประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่เรามีอาการเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาแต่ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
3. ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (ECIR)
แผนประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่ตรวจพบโรคร้ายแรง ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง และใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน รวมถึงมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็งและเนื้องอก โรคหัวใจและระบบหลอดเลือด โรคเกี่ยวกับสมอง ฯลฯ
4. ประกันอุบัติเหตุ (PA)
แผนประกันที่ให้ความคุ้มครองในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไปจนถึงทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต ทั้งนี้จะครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษา และค่าสินไหมทดแทนต่าง ๆ ด้วย
5. ประกันชดเชยรายได้
แผนประกันที่ช่วยชดเชยรายได้ โดยจะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายวัน ในช่วงที่เราไม่สามารถไปทำงานได้ ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
4 เช็กลิสต์สำคัญ ดูให้ดีก่อนตัดสินใจ
หลังจากที่รู้ความต้องการ และเลือกได้แล้วว่าประกันสุขภาพแบบไหนบ้างที่เราอยากจะมีไว้ หรืออยากจะซื้อให้กับคนที่รัก ก็มาถึงรายละเอียดสำคัญเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ได้แก่
- ค่าเบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่าย
คือเงินที่เราต้องชำระให้แก่บริษัทประกันภัยเพื่อซื้อความคุ้มครองสุขภาพต่อปี ซึ่งแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ อาชีพ ประวัติสุขภาพและการรักษาพยาบาล นั่นหมายความว่าเบี้ยประกันภัยจะไม่คงที่เท่ากันทุกปีหรือตลอดไป ยิ่งอายุมากขึ้น หรือมีประวัติเจ็บป่วย ก็ยิ่งต้องจ่ายค่าเบี้ยฯที่สูงขึ้น -
วงเงินคุ้มครองที่เหมาะสม
แน่นอนว่าวงเงินคุ้มครองยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะเท่ากับว่าเราไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะค่าห้อง ค่ารักษา ค่าหมอ ค่ายา พูดง่าย ๆ คือครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลจนแทบไม่ต้องควักเงินกระเป๋าจ่ายเพิ่มเลยแต่ก็ต้องอย่าลืมว่าความคุ้มครองที่มากขึ้นก็มาพร้อมกับเบี้ยประกันภัยที่มากขึ้นเช่นกัน เราจึงควรเลือกให้เหมาะกับสภาพการเงิน และความสามารถในการจ่าย ที่ทำให้ชีวิตไม่ต้องวุ่นวายกับค่าเบี้ยฯแต่ละปีด้วย -
การครอบคลุมความเสี่ยง
สำหรับคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคต่าง ๆ ทั้งจากประวัติเจ็บป่วยที่ผ่านมาของตัวเราเอง หรือกรรมพันธุ์ของครอบครัว ควรจะดูรายละเอียดความคุ้มครองในส่วนนี้ให้ดี เพราะบางที่ถ้าเปรียบเทียบแค่วงเงินคุ้มครอง หรือค่าเบี้ยประกันภัยที่ไหนถูกแพงกว่ากัน ก็อาจจะไม่ได้ครอบคลุมความเสี่ยงเรื่องสุขภาพของตัวเอง ซึ่งเป็นโจทย์หลักในการทำประกันรวมอยู่ด้วย -
โรงพยาบาลที่เข้าไปใช้ได้
ควรเลือกประกันที่ครอบคลุมโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน หรือที่เราเข้าไปใช้บริการเป็นประจำ หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมากะทันหันจะได้ไม่เสียเวลาเดินทาง สามารถเข้ารับการักษาได้ทันท่วงที ยิ่งถ้าต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน หากใกล้บ้าน ก็จะสะดวกกับครอบครัวหรือญาติที่ต้องไปเยี่ยมหรืออยู่เฝ้ามากกว่า มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับประกันสุขภาพมากขึ้น และสามารถเลือกซื้อแบบประกันที่เหมาะกับความต้องการของตัวเอง และคนที่รักได้แล้ว
แต่ถ้าต้องการตัวช่วยมืออาชีพที่พร้อมคุ้มครอง เพิ่มความอุ่นใจในวันที่เจ็บป่วยขึ้นมา ttb มีประกันสุขภาพให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมทุกความต้องการ และค่าเบี้ยประกันภัย ที่สามารถจ่ายได้แบบไม่ต้องกังวล