ผลของการประชุม กนง.
เป็นอย่างไร ?
· กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด ขณะที่ 2 เสียงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อใช้ในจังหวะที่จะเกิดประสิทธิผลสูงสุด เนื่องจากข้อจำกัดในด้าน Policy space
· กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองรับความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนหลายด้าน เช่น นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ภาคการผลิตที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ (มาจากฝั่ง Supply เป็นหลัก) และความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (Unexpected shock)
· กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งจะกระทบชัดเจนกับการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เป็นต้นไป
· ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิน การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 และ 2569
o กรณี Lower Tariffs (ไม่มี Reciprocal Tariff) คาด GDP โต 2% และ 1.8% ตามลำดับ
o กรณี Higher Tariffs (ทุกประเทศเจรจา Reciprocal Tariff ได้ครึ่งนึง ตั้งแต่ช่วง Q3) คาด GDP จะโตเพียง 1.3% และ 1% ตามลำดับ
· ภาวะการเงินยังคงตึงตัว สินเชื่อลดลงเล็กน้อย คุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลง ทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์ นโยบายการค้า ที่อาจส่งผลต่อภาวะทางการเงินของภาคธุรกิจ และครัวเรือน และอาจส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไป
เรามองอย่างไร ?
- การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดไว้อยู่แล้ว จากความเสี่ยงหลายด้านที่เข้ามา
- ตลาดหุ้นไทยปรับตัวบวกได้ราวๆ 10 จุด (+0.9%) ตั้งแต่ช่วงเช้า หลังจากที่ Moodys ได้ปรับลด Outlook ของไทยจาก Stable มาเป็น Negative ทำให้นักลงทุนเพิ่มโอกาสที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้น ขณะที่ช่วงเปิดตลาดภาคบ่าย SET Index +13 จุด (+1.13%)
- เศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความเสี่ยงหลายด้าน ทำให้เรามองว่า กนง. จะคงท่าทีใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ประเด็นเงินเฟ้อไทย กนง. ยังไม่เห็นความเสี่ยงด้านขาขึ้นมาก
หุ้นไทยถูกแต่ยังขาดเสน่ห์ ดังนั้นจึงต้องเลือกลงทุน!!
· ราคาหุ้นไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จนมูลค่าของหุ้นกลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลไปถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน และการชะลอการลงทุนต่างๆ ทำให้หุ้นไทยโดยภาพรวม อาจจะยังไม่ได้อยู่ในจุดที่น่าสนใจมากนัก เราจึงคงมุมมอง Neutral ไว้เช่นเดิม
· อย่างไรก็ตาม หากเราเลือกลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีกลุ่มที่ยังคงน่าสนใจจากมูลค่าที่น่าสนใจ และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทกลุ่มนี้ยังคงแข็งแกร่ง นั่นก็คือหุ้นกลุ่มปันผลดี ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นไทย เราแนะนำให้ไปลงหุ้นกลุ่มปันผลดี อย่างเช่นกอง ทุน TISCOHD-A ไว้เช่นเดิม
ทั้งนี้นอกจากกองทุนหุ้นไทยแล้ว
ยังมีกองทุนที่เราแนะนำ ยังคงน่าสนใจไม่แพ้กัน
-
กองทุน ES-ULTIMATE GA Series (กองทุน ES-ULTIMATE GA1, กองทุน ES-ULTIMATE GA2, กองทุน ES-ULTIMATE GA3)
- กองทุน ES-GCORE
- กองทุน ES-GER
- กองทุน ES-INDAE
- กองทุน TISCOHD-A
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย
อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย
- กองทุน K-CASH
- กองทุน ES-TM
-
กองทุน KFSMART
-
กองทุน ES-IPLUS
-
กองทุน K-FIXED-A
- กองทุน KFAFIX-A
Source: Investment Product Strategist, SET, BOT, as of 30 April 2025
หมายเหตุ : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด ที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน หรือโดยทางอื่นใด ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมาย ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว